Nantaporn Thiagmetta
วันจันทร์ที่ 20 สิงหาคม พ.ศ. 2555
ควรอยู่เป็นโสด หรือ มีครอบครัว
ควรอยู่เป็นโสด หรือ มีครอบครัว
(ศุภวรรณ พิพัฒพรรณวงศ์ กรีน)
พอดีคุณเทพได้พูดเรื่องไม่อยากมีลูกขึ้นมา ดิฉันอยู่ในฝ่ายที่รับฟังปัญหาของคนมามาก ถามเข้ามามากเพื่อต้องการคำตอบในเรื่องนี้ และดิฉันอายุก็จัดเข้าสู่วัยชราแล้ว มีลูกของตัวเองด้วย จึงเห็นปัญหาของคนในแต่ละวัยได้ชัดเจนมากขึ้น จึงอยากถือโอกาสพูดเรื่องนี้อย่างตรงไปตรงมา อาจจะฟังขัดหูต่อคนบางคนที่ไม่อยากฟัง แต่ต้องพยายามเข้าใจเรื่องที่ดูเหมือนง่าย ๆ แต่มีความลึกซึ้งอย่างมหาศาล เช่นเรื่องการแต่งงานและมีลูก
คนที่อายุยังน้อย เมื่อมาปฏิบัติธรรมแล้ว มักพูดเสมอว่า ไม่อยากแต่งงาน ไม่อยากมีลูก เพราะไม่อยากมีบ่วงผูกคอ ซึ่งเป็นการคิดและพูดตามพระพุทธเจ้า แต่ยุคสมัยได้เปลี่ยนไปแล้ว การเข้ามาพึ่งร่มโพธิ์ร่มไทรของพระพุทธศาสนาไม่ใช่เป็นเรื่องที่ทำได้ง่าย ๆ สำหรับคนยุคนี้แล้ว โดยเฉพาะเพศหญิง ใครจะบวชได้และอยู่ได้จริง ๆ จำเป็นต้องมีทุนทรัพย์ด้วย
เห็นคนเปลี่ยนทัศนะคติมาแล้ว
ตอนนี้ดิฉันสามารถเห็นภาพชีวิตของคนที่มีอายุมากขึ้นด้วย ฝรั่งที่ใช้ชีวิตในวัยชราอย่างโดดเดี่ยว ไม่มีใครดูแล บางคนตายเป็นอาทิตย์ เป็นเดือนแล้ว คนถึงจะรู้ ได้พบคนไม่น้อยที่เล่าถึงความห่วงใยในอานาคตของตนเองที่ต้องอยู่เพียงคนเดียวโดยไม่มีใครดูแล บางคนถึงขนาดกลัว ไม่สามารถขับไล่เจอรี่ตัวกลัวนี้ออกจากบ้านของใจ มันรบกวนมาก
คนที่อยู่ในวัยไม่เกิน ๓๕ นั้น มักจะคิดถึงชีวิตแบบตัดตอนโดยเอาความรู้สึกในขณะนี้เป็นเกณฑ์ตัดสิน เห็นว่าชีวิตก็มีความสุขดีนะ เพราะมีพ่อแม่พี่น้องอยู่ด้วยกันอย่างอบอุ่น ไม่เห็นจะต้องแต่งงานรับภาระการเลี้ยงลูกดูแลคู่ครองให้ยุ่งยากเปล่า ๆ ปฏิบัติธรรมไป ก็น่าจะอยู่ได้ แต่พอเข้าวัย ๔๐ แล้วสิ ความคิดเริ่มเปลี่ยน เพราะพ่อแม่ก็แก่เฒ่าชราลง หรืออาจจากเราไปแล้ว พี่น้องคนอื่นก็อาจจะแต่งงานมีครอบครัวของตนเอง จากครอบครัวที่เคยอบอุ่นเต็มไปด้วยผู้คนกลับเหลือสมาชิกน้อยลง ๆ พี่น้องที่มีครอบครัว เขาก็ไปสร้างสมาชิกใหม่ของเขา มีความรักความอบอุ่นเหมือนที่พ่อแม่มีเราตอนเราเล็ก ๆ แม้เพื่อน ๆ ก็ตาม เมื่อเขาแต่งงานไป จะค่อย ๆ ห่างและหดหายไปเช่นกัน หากเราไม่ได้แต่งงาน ไม่มีลูก แม้จะปฏิบัติธรรมก็ตาม จะยังไม่พ้นที่จะถูกความเงียบเหงาและความกลัวอนาคตหลอกเอาทั้งนั้นไม่ว่าชายหรือหญิง ยิ่งแก่ตัว คนรู้จักในรุ่นเดียวกันก็จะยิ่งน้อยลง ก็จะยิ่งคิดมาก อย่างน้อยพ่อแม่ที่ชราของเรามีเราเป็นคนดูแลท่าน พาท่านไปหาหมอ ดูแลปรนิบัติท่านในยามที่ท่านเจ็บป่วย แม้จากไปแล้ว ก็ยังมีเราเป็นภาระจัดงานศพแผ่ส่วนบุญกุศลไปให้ท่าน และเมื่อเราแก่เฒ่าชราล่ะ ใครจะดูแลเรา หากเราไม่มีลูก ใครจะทำสิ่งเหล่านี้ให้กับเรา มีหลายรายที่เขียนมาหาดิฉันเพื่อต้องการเค้นเอาคำตอบว่าจะแก้ปัญหาเรื่องความเหงา และการต่อสู้กับอนาคตอย่างโดดเดี่ยวได้อย่างไร
สัญชาติญาณคือธรรมชาติจัดสรร
ดิฉันจึงขอถือโอกาสนี้พูดตรง ๆ เลย ว่า คุณกำลังอยู่ในโลกมนุษย์อันเป็นคุกชีวิตที่ไม่มีอะไรสมบูรณ์เพียบพร้อมไปหมดทุกอย่าง จะขอไปนิพพานด้วยพร้อมกับอยู่ในโลกมนุษย์อันเป็นคุกชีวิตอย่างไม่ทุกข์เลยย่อมเป็นไปไม่ได้ ไม่ว่าจะอยู่เป็นโสด หรือเลือกการไม่มีลูก ล้วนต้องมีห่วง มีทุกข์กันคนละแบบทั้งสิ้น ถ้าต้องการความสุขเล็ก ๆ น้อย ๆ เช่นความอบอุ่นของการมีครอบครัว ก็ต้องยอมลงทุนโดยการรับภาระเลี้ยงลูก ต้องยอมเสี่ยงที่จะเป็นทุกข์ หากลูกไม่ได้เป็นไปตามที่เราคาดหวังไว้ หรืออาจมีเรื่องอะไรเกิดกับลูก นี่เป็นเรื่องของโลก ไม่มีทางเลือก
ต้องเข้าใจให้ถูกต้องว่า โลกมนุษย์คือโลกที่ต้องมีมนุษย์อยู่ ธรรมชาติจึงจัดสรรให้มนุษย์มีขบวนการสืบเผ่าพันธุ์ ความต้องการทางเพศจึงเป็นสัญชาติญาณที่รุนแรงมาก แรงพอ ๆ กับสัญชาติญาณของหญิงที่อยากเป็นแม่คน และแรงพอ ๆ กับสัญชาติญาณของแม่ที่ต้องการปกป้องลูกของตน เรื่องสัญชาติญาณนี่เป็นเรื่องลึกซึ้งและลึกลับของธรรมชาติ สัญชาติญาณที่รุนแรงเหล่านั้นล้วนเป็นแผนการณ์ให้มนุษย์จำเป็นต้องทิ้งเผ่าพันธุ์ไว้ในโลกมนุษย์ การฝืนธรรมชาติเหล่านี้ย่อมเป็นเรื่องยากมาก แม้ฝืนมันได้ โดยการไปบวชเป็นพระ ก็เห็นไม๊ล่ะว่า ทำไมจึงมีปัญหาเรื่องพระไปแอบเสพเมถุนกันมาก แม้ไม่บวชเป็นพระ นักปฏิบัติธรรมที่เป็นชายก็ล้วนถูกเรื่องกามราคะตามรังควานทั้งสิ้นอย่างที่หลายคนได้ประสบมา
ชีวิตมีทั้งแง่บวกและลบ
นอกจากนั้น ชีวิตมนุษย์เป็นชีวิตที่ต้องทำงานหาเงินเพื่อมาเลี้ยงชีวิตให้อยู่รอด ไม่มีความสามารถในการเนรมิตของทิพย์เหมือนประชากรของเทวดาในโลกสวรรค์ ธรรมชาติจึงสร้างมนุษย์ให้เป็นสัตว์สังคม ต้องอยู่กันเป็นคู่ เป็นครอบครัวเพื่อช่วยกันทำมาหากิน ช่วยกันเลี้ยงลูกเล็กให้เติบใหญ่ ความรักความอบอุ่นของครอบครัวที่มีคนที่เราพึ่งพาได้อย่างแท้จริงเป็นความสุขเล็ก ๆ น้อย ๆ ที่ทั้งมนุษย์และสัตว์พอจะหาได้ในขณะที่ยังอยู่ในคุกชีวิต
โลกมนุษย์นี้ไม่มีอะไรสมบูรณ์ เพราะมันเป็นคุก เราต้องยอมรับวิถีชีวิตที่ธรรมชาติสร้างให้ ซึ่งมีทั้งแง่บวกกับแง่ลบ ในสายตาของนักปฏิบัติธรรมเห็นการแต่งงานมีลูกเป็นภาระหนักที่จะถ่วงไม่ให้ตนเองไปนิพพาน แต่การอยู่คนเดียว ปฏิบัติธรรมก็ไม่ได้รับประกันว่า เราจะไปนิพพานได้เร็วกว่าคนที่มีครอบครัวที่ไหน ในทางตรงกันข้าม คนที่มีครอบครัวของตนเองนั้น จะมีประสบการณ์ชีวิตอีกมากมายที่คนไม่เคยมีครอบครัวจะไม่มีวันรู้ได้ เช่น การเป็นพ่อแม่คนมีความรู้สึกอย่างไร การเลี้ยงลูกเล็กมีความสุขอย่างไร การเสียสละความสุขส่วนตัวเพื่อรักมนุษย์อีกคนหนึ่งโดยไม่มีอะไรเคลือบแฝง นี่เป็นสิ่งที่คนไม่ได้เป็นพ่อแม่คนจะไม่มีโอกาสทำได้ แน่นอน การเลี้ยงลูกย่อมเป็นภาระ และเป็นบ่วงผูกคอ ไม่จำเป็นต้องเอ่ยถึงลูกเลว ๆ ที่นำปัญหามาให้พ่อแม่ต้องเสียใจ ทุกข์ใจ จนต้องพูดออกมาดัง ๆ ว่าหากไม่มีลูก คงดีกว่านี้
จะมองชีวิตแบบตัดตอนไม่ได้
สิ่งที่ดิฉันอยากให้คนปฏิบัติธรรมมองคือ ไม่ว่าจะแต่งงานหรือไม่แต่งงาน หรือ แต่งงานแล้วไม่มีลูกด้วยเหตุผลอะไรก็ตามแต่ ทุกคนล้วนมีทุกข์ มีปัญหาไปคนละแบบทั้งสิ้น ล้วนต้องตั้งความปรารถนาพระนิพพานทั้งสิ้น แต่ก่อนที่จะตัดสินใจเด็ดขาดว่า จะไม่แต่งงานและไม่อยากมีลูกนั้น ต้องพยายามมองภาพที่ไกลออกไป เพราะทุกคนล้วนต้องแก่ และอาจมีโรคภัยไข้เจ็บ และต้องตายทั้งสิ้น เพราะมีส่วนนี้แหละ วิถีของธรรมชาติจึงสร้างให้มนุษย์ต้องอยู่กันเป็นกลุ่มก้อนที่เราเรียกว่าสังคม ตั้งแต่สังคมครอบครัวขึ้นไปจนถึงระดับประเทศ เพื่อมนุษย์จะได้ดูแลซึ่งกันและกัน ฉะนั้น คุณจะมองแบบตัดตอนไม่ได้ คุณต้องมองให้เห็นภาพของตนเองในวัยชราที่กำลังเจ็บไข้ได้ป่วยด้วย คุณต้องมองให้ออกว่า ความสุขของพ่อแม่ของเราในขณะนี้คือ การได้อยู่ห้อมล้อมด้วยลูกหลานของตนเอง นี่คือความสุขเล็ก ๆ น้อย ๆ ของคนแก่ ล้วนมองไปที่หน้าบ้านเพื่อเอี้ยวคอมองว่าเมื่อไหร่ลูกหลานจะมาหาทั้งนั้นแหละ ลองไปสังเกตสิ ลูกหลานของคนอื่นก็ไม่เหมือนลูกหลานของเราเอง ขอยกเว้นกรณีพิเศษที่ลูกหลานคนอื่นดีกว่าลูกหลานของตัวเองซึ่งมีน้อย ฉะนั้น ต้องมองตนเองในวัยชราที่อยู่โดดเดี่ยว เราจะไม่มีความสุขเล็ก ๆ น้อย ๆ อย่างที่พ่อแม่เรามีอยู่ในขณะนี้
ถูกแม่ดุ
แม้ดิฉันเอง ขณะอยู่ในวัยสามสิบกว่ามีลูกเล็กสามคนแล้ว กลับมาหาแม่ทีไร ก็มักพูดว่าอยากกลับมาอยู่กับแม่และพี่น้องที่เมืองไทย จนแม่ต้องดุดิฉันเลยว่า มีสามีมีลูกแล้ว ก็ต้องคิดอยู่กับครอบครัวของตัวเองสิ จะคิดไปอยู่กับคนอื่นได้อย่างไร เห็นไม๊ แม่พูดเองว่า พี่น้องเป็นคนอื่น ยังรู้สึกผิดหวังว่าทำไมแม่พูดเช่นนั้น และทำไมตอนที่เรามีลูกเล็ก ผู้ใหญ่จึงพูดเหมือนกันหมดว่า หนูนี่โชคดีจัง มีลูกชายน่ารักถึง ๓ คน ถูกละ ความรู้สึกสุขและสวยงามจากการมีลูกก็มีอยู่ แต่ตอนนั้นฟังแล้วก็ยังขัดกับความรู้สึกบางอย่างของตนเองบ้าง เพราะเหนื่อยมากจากการเลี้ยงลูก แถมเงินทองก็ไม่ค่อยมี เห็นแต่ภาระที่หนักหน่วง
แต่ตอนนี้ดิฉันเข้าใจมากขึ้นแล้วว่าทำไมผู้ใหญ่จึงมักพูดเช่นนั้น เห็นปู่ย่าตาทวดบางคนที่ผ่านชีวิตมามาก พร้อมกับเห็นปัญหาและความทุกข์มากมายที่ลูกหลานนำมาในช่วง ๕๐ ปี แต่คนชราเหล่านี้ ก็ยังพูดเหมือนกันหมดว่า ไม่เสียใจที่มีลูก ไม่ว่าจะเป็นอย่างไร ยังสนับสนุนให้คนมีครอบครัวดีกว่า นี่คือความลึกซึ้งของชีวิตที่เข้าใจได้ยาก ต้องมีประสบการณ์เท่านั้น จึงจะรู้ได้
ต้องกล้าเผชิญปัญหา
ฉะนั้น หากใครตัดสินใจไม่อยากมีครอบครัว ก็ต้องมีความกล้าหาญที่จะเผชิญกับปัญหาความเงียบเหงาและการดูแลตนเองในยามแก่เฒ่า จะต้องยอมรับว่านี่เป็นการตัดสินใจของตนเอง และเตรียมตัวรับปัญหาเหล่านั้น จะต้องวางแผนให้ดีว่าจะทำอะไรกับตัวเองอย่างไร ซึ่งคนโสดส่วนมากมักไปอยู่วัด
ส่วนใครที่มีลูก ก็ไม่ได้รับประกันเช่นกันว่า ลูกจะมาเลี้ยงเราในยามแก่เฒ่า ลูกที่แต่งงานแล้ว รักแต่สามีหรือภรรยาและลูกของตัวเองโดยไม่เหลียวแลพ่อแม่ชราก็มีถมไป สังคมเปลี่ยนไปมากแล้ว สิ่งเหล่านี้ล้วนเป็นความเสี่ยงเหมือนการซื้อล๊อตเตอรี่ ไม่มีทางรู้ว่ามันจะออกหัวหรือออกก้อย ต้องจำไว้เสมอว่า เรากำลังอยู่ในคุกชีวิตที่ไม่มีอะไรสมบูรณ์ เพียบพร้อม ล้วนต้องเสี่ยง หรือไม่ก็ต้องลงทุนเพื่อให้ได้สิ่งที่ต้องการมาทั้งสิ้น
ครอบครัวใหญ่
การที่พระพุทธเจ้าสร้างสังคมของบรรพชิตขึ้นมา ก็เพื่อสร้างทางลัดให้คนเดินไปนิพพานได้เร็วขึ้นโดยไม่ต้องมีภาระหาเลี้ยงชีพ นอกจากนั้น สังคมบรรพชิตก็เหมือนเป็นครอบครัวใหญ่ที่พระบรมศาสดาหวังจะให้ภิกษุดูแลกันเอง เมื่อครั้งที่ท่านเสด็จไปดูแลพระรูปหนึ่งที่เจ็บไข้ได้ป่วยเพราะไม่มีใครดูแล ทรงเช็ดถูกายให้ เสร็จแล้ว ท่านก็ตรัสเตือนภิกษุทั้งหลายว่า หากภิกษุไม่ช่วยดูแลกันเองในยามเจ็บไข้แล้ว จะไปหวังให้ใครมาช่วยดูแลหรือ เป็นการบอกพระภิกษุสาวกว่า สังคมของสงฆ์นี่แหละคือครอบครัวใหม่ของตนเองแล้ว จำเป็นที่จะต้องคอยสอดส่องและดูแลกันเอง ซึ่งดิฉันก็ไม่ทราบว่า ภิกษุของยุคสมัยนี้ยังคงปฏิบัติต่อกันเช่นนี้หรือไม่ ถ้าเป็นพระที่มีชื่อเสียง เป็นครูบาอาจารย์หรือเป็นเจ้าอาวาสก็คงไม่มีปัญหา ย่อมมีลูกศิษย์คอยดูแล อย่างเช่น หลวงปู่ชา แต่พระที่ไม่มีบทบาทอะไรต่อสังคมแล้ว เมื่อเจ็บไข้ได้ป่วย ก็ยังคงเป็นหน้าที่ของครอบครัวตนเองที่จะต้องมารับภาระดูแลท่าน
สังคมอโศกเป็นตัวอย่างที่ดี
ส่วนทางออกของคนที่ไม่คิดบวชและไม่อยากแต่งงานมีครอบครัว ก็ต้องสร้างสังคมของตนเองขึ้นมาที่จะช่วยดูแลกันเองได้ คือ สร้างสังคมของญาติธรรม มาเป็นญาติกันในทางธรรม ซึ่งสังคมของชาวอโศกที่นำโดยท่านโพธิรักษ์จะเป็นตัวอย่างที่ดีมากของสังคมดังกล่าว หรือไม่เช่นนั้นก็ไปอยู่วัด หรือ อาศรมต่าง ๆ ที่มีผู้นำทางธรรมได้สร้างสังคมไว้แล้ว เช่น อาศรมมาตา เป็นต้น แต่หมายความว่า เรายังต้องเสียสละอิสรภาพส่วนตัวบ้างที่จะมาสร้างญาติทางธรรม มาเป็นส่วนหนึ่งของสังคมเช่นนี้ จะต้องมีทั้งการให้และการรับที่สมดุลกัน give and take เราไม่สามารถคาดหวังให้ใครมาดูแลเราในยามเจ็บไข้ หากเราไม่เคยไปดูแลคนอื่นเลย ในขณะที่การมีครอบครัวของตนเอง ก็เหมือนการบังคับให้ดูแลกันเองไปในตัวตามที่ธรรมชาติสร้างมา
การสร้างสังคมของญาติธรรมก็ไม่ใช่เป็นคำตอบสำหรับทุกคนเสมอไป เพราะคนปฏิบัติธรรมส่วนมากก็ไม่ค่อยอยากยุ่งกับใครมากอยู่แล้ว ยิ่งถ้าไม่ใช่ครอบครัวคนใกล้ชิดของตนเอง อยากมีชีวิตเป็นส่วนตัวของตนเองมากกว่า สังคมของกัลยาณมิตรเช่นนี้ก็ไม่ใช่ว่าจะไม่มีปัญหาเลย แม้สังคมที่มีแต่พระอรหันต์เท่านั้นก็ยังมีปัญหาหากต้องมีการพูดคุย สื่อสาร และทำงานร่วมกัน นี่เป็นเรื่องธรรมดา
สร้างสังคมกัลยาณมิตรของตนเอง
ใครที่ไม่พร้อมจะอยู่กับคนหมู่มากดังเช่นสังคมของชาวอโศก ก็อาจจะสร้างสังคมกลุ่มเล็ก ๆ ที่มีกัลยาณมิตรที่ไม่ได้แต่งงานเหมือนกัน เป็นชมรมเล็ก ๆ สร้างความสัมพันที่ใกล้ชิดต่อกันเพื่อจะได้ช่วยเหลือดูแลกันเอง แต่เห็นหรือไม่ว่า ไม่ว่าทางออกจะเป็นอะไร ล้วนต้องเกี่ยวข้องกับการลงทุนซึ่งเป็นการเสียสละความเห็นแก่ตัวตนทั้งสิ้น เหมือนพ่อแม่ที่ต้องเสียสละเพื่อเลี้ยงลูกจนโต จึงจะมีลูกมาดูแลตัวเองในยามแก่เฒ่า
และต้องอย่าลืมว่า เพื่อนที่จะมาใส่ใจดูแลเพื่อนด้วยกันเองอย่างทุ่มเทนั้น มีน้อยมากในสังคมแห่งความเป็นจริง ไป ๆ มา ๆ มักเหลือแต่ ลูกหลานที่เกี่ยวดองกันทางสายเลือดใกล้ชิดจริง ๆ เท่านั้น นี่แหละ ธรรมชาติจึงสร้างให้มนุษย์และสัตว์เดรัจฉานอยู่เป็นคู่ ๆ เพราะคู่ครองของเรา ไม่ใช่ใครอื่น เขาคือ เพื่อนที่ดีที่สุดของเรานั่นเอง และต้องอย่าลืมว่า เพื่อนที่อายุไล่เลี่ยกันย่อมเข้าสู่วัยชราพร้อมกันด้วย จะให้มานั่งเยี่ยมเยียนกันเพื่อดูว่าอีกฝ่ายสบายดีหรือไม่เหมือนตอนที่ยังหนุ่มสาวอยู่ ย่อมเป็นไปไม่ได้ นี่เป็นเหตุผลที่ธรรมชาติสร้างให้มีการสืบเผ่าพันธุ์ เพื่อคนอายุน้อยกว่าจะได้มาดูแลคนอายุมากกว่า เป็นเรื่องที่ธรรมชาติจัดสรรให้อย่างเหมาะเจาะแล้ว
การมีบุตรชายไว้สืบสกุลจึงกลายเป็นเรื่องใหญ่มากของสังคมส่วนมากตั้งแต่โบราณกาลมาแล้ว เหมือนเป็นสัญชาติญาณที่ไม่จำเป็นต้องสอนมาก เพราะกลไกของธรรมชาติชักใยอยู่เบื้องหลังนั่นเอง การมีครอบครัวจึงเป็นเรื่องลึกซึ้งมาก ไม่ใช่เรื่องตื้น ๆ เลย และไม่ใช่เรื่องที่จะมาเปลี่ยนแปลงเอาง่าย ๆ ด้วย
ต้องสอนเด็ก ๆ เรื่องกตัญญู
ในสังคมตะวันออกที่มีอิทธิพลของพระพุทธศาสนานั้น การดูแลพ่อแม่เป็นเรื่องกตัญญูกตเวที เป็นการเสริมความต้องการของธรรมชาติในเรื่องการดูแลมนุษย์ที่แก่เฒ่าให้เข้มข้นมากขึ้น ทำให้สมาชิกของสังคมไม่ลืมหน้าที่พื้นฐานของตนเอง
สังคมตะวันตกยังขาดความรู้เรื่องนิพพาน พร้อมสถาบันศาสนาตลอดจนถึงระบบจริยธรรมของเขาก็อ่อนแอลง ในช่วง ๒๐ - ๓๐ ปีให้หลังนี้ สังคมเปลี่ยนไปมาก คนเห็นแก่ตัวมีมากขึ้น ประเด็นเรื่องการมีลูกเพื่อเลี้ยงดูพ่อแม่ในยามแก่เฒ่าจึงถูกบิดเบือนให้เห็นเป็นเรื่องความเห็นแก่ตัวของพ่อแม่ เด็กตะวันตกของยุคนี้ เมื่อมีปากเสียงกับพ่อแม่ มักพูดด้วยความโกรธใส่หน้าพ่อแม่ว่าเห็นแก่ตัว มีลูกเพียงเพื่อให้มาเลี้ยงดูตนเองเท่านั้น ตำหนิพ่อแม่ว่าไม่ได้รักลูกอย่างแท้จริง รักแต่ตัวเองเท่านั้น พ่อแม่ไม่น้อยก็พลอยสนับสนุนความคิดนี้โดยพูดว่า ที่ตนเองมีลูกก็ไม่ได้หวังให้ลูกมาเลี้ยงตัวเองหรอก ด้วยความกลัวคนตำหนิว่าตนเองจะเห็นแก่ตัว ไม่ได้รักลูกจริง คนตะวันตกจึงไม่เข้าใจเรื่องความกตัญญูต่อพ่อแม่ ตีความว่าพ่อแม่เลี้ยงเรามาเพื่อหวังสิ่งตอบแทนคือให้เราเลี้ยงดูเขา ความคิดนี้ก็ได้ระบาดเข้ามาในสังคมตะวันออกด้วย ดังที่เคยฟังพ่อแม่ไทยพูดในทำนองนี้ ซึ่งเป็นการคิดที่ผิดทำนองคลองธรรมไปหมด เป็นความคิดที่อันตรายมาก
ที่จริงแล้ว การสอนลูกให้กตัญญูต่อพ่อแม่โดยเลี้ยงดูท่านในยามแก่เฒ่าเป็นการสอนที่ถูกต้องแล้ว ไม่ใช่เรื่องเห็นแก่ตัวของใครทั้งสิ้น นี่เป็นความต้องการของธรรมชาติ การที่พ่อแม่คาดหวังให้ลูกเลี้ยงดูตนเองไม่ใช่เป็นเรื่องผิด และไม่ใช่เรื่องเห็นแก่ตัวแต่อย่างใด จะมีพ่อแม่คนไหนบ้างที่ไม่หวังฝากผีฝากไข้กับลูกของตน แม้คนที่พูดว่าไม่คาดหวังอะไรจากลูกก็ตาม เมื่อถึงเวลาแก่เฒ่า ช่วยตัวเองไม่ได้ ก็ต้องหวังพึ่งลูกทั้งสิ้น นี่เป็นเรื่องธรรมชาติมาก คนไทยเราไม่ควรพูดอะไรตามก้นฝรั่งไปหมด เขาพูดอย่างคนหลงทิศชีวิต ใครจะพูดเรื่องนี้ ต้องระวังให้ดี ต้องพูดให้เด็ก ๆ มีความกตัญญูรู้คุณพ่อแม่ เห็นพ่อแม่เป็นเนื้อนาบุญที่ตนเองสามารถปลูกต้นบุญเพื่อไปนิพพาน การเลี้ยงดูพ่อแม่ในยามที่ท่านแก่เฒ่า จึงเป็นการปลูกต้นบุญให้ตนเอง เป็นเรื่องที่นำศิริมงคลมาสู่ชีวิตตนเอง
สร้างเมตตาบารมี
คนที่แต่งงานแล้ว แต่ไม่อยากมีลูกเป็นบ่วงผูกคอ และห่วงว่าลูกที่เกิดมาอาจจะดีหรืออาจจะไม่ดี ถ้าลูกไม่ดีมาเกิดแล้ว จะทำให้ชีวิตยิ่งยุ่ง ยิ่งทุกข์มากกว่าเป็นสุข
ขอตกลงกันก่อนว่า ดิฉันกำลังพูดกับคนปฏิบัติธรรมที่ได้ละทิ้งโคตรปุถุชนมาแล้ว ได้ข้ามพรมแดนมาสู่อริยโคตรแล้ว จึงพูดให้คนคิดใหม่ว่า การผลิตมนุษย์อีกคนหนึ่งขึ้นมาในโลกนี้ เท่ากับช่วยให้อีกชีวิตหนึ่งในสังสารวัฏมีโอกาสมาเกิดเป็นมนุษย์และพบพระพุทธศาสนา เพื่อเขาจะได้มีโอกาสต่อยอดทางธรรม เดินทางต่อไปให้ถึงพระนิพพานเหมือนที่เรากำลังทำอยู่ในขณะนี้ เท่ากับเป็นการสร้างเมตตาบารมีให้กับตนเองด้วย
หากใครแต่งงานแล้ว คิดจะมีลูก ควรตั้งจิตอธิษฐานขอให้จิตวิญญาณที่มีบารมีทางธรรมหรืออาจได้เคยข้ามโคตรมาแล้วได้รับรู้ เพื่อต้อนรับจิตวิญญาณที่มีบุญบารมีนั้นมาสู่ครรภ์ของตน ในขณะเดียวกัน จิตวิญญาณที่ได้สร้างบารมีทางธรรมมาแล้วก็ย่อมสรรหาครรภ์ของมารดาที่มีคุณธรรมเช่นกัน เรื่องการเกิดมาเป็นพ่อแม่ลูกกันนั้น เป็นเรื่องที่เกี่ยวข้องกับบุญบารมีและวิบากกรรมโดยตรง แม้เด็กที่มาเกิดกับเราไม่เคยข้ามโคตรมาก่อน แต่การเกิดมาในครอบครัวของคนปฏิบัติธรรม มุ่งนิพพานย่อมเป็นสภาพแวดล้อมที่สามารถบ่มเพาะช่วยให้มนุษย์อีกคนหนึ่งก้าวข้ามโคตรได้เช่นกัน เพราะภพภูมิมนุษย์นี้เหมาะสำหรับการปฏิบัติธรรมเพื่อไปนิพพานมากที่สุด การคิดได้เช่นนี้ ก็เท่ากับมีเมตตาแก่เพื่อนร่วมเกิดแก่เจ็บตายที่วนเวียนอยู่ในสังสารวัฏเหมือนเรา เมื่อลูกที่มีบุญมาเกิดกับเราได้เช่นนี้ ก็จะสามารถช่วยกันประคับประคองเพื่อต่อยอดเดินทางไปนิพพาน นี่เป็นเหตุปัจจัยที่คู่แต่งงานสามารถทำให้มันเกิดได้
แต่ไม่ว่าจะเลือกทางใด ล้วนต้องมีการลงทุนก่อนทั้งสิ้น คือ ต้องเสียสละความสุขส่วนตัวเลี้ยงลูกให้โต เพื่อลูกจะได้ดูแลเราในยามแก่เฒ่า ทั้งนี้ทั้งนั้น ก็ต้องไม่ลืมเรื่องกฎแห่งอนิจจังและความเสี่ยงว่ามันอาจจะไม่เหมือนที่คิด ที่คาดหวังไว้ ก็เพียงทำในสิ่งที่ถูกต้องให้ดีที่สุดเท่านั้นเอง
พระมหากัสสปกับนางภัททา
คนที่ได้ข้ามพรมแดนมาสู่โคตรอริยะแล้วนั้น หากเป็นโสดอยู่ ย่อมอยากได้คู่ครองที่ได้ข้ามพรมแดนมาแล้วเช่นกัน เรื่องการหาคู่นี่เป็นเรื่องยากมาก หากไม่ได้ “ปิ๊ง” กันอย่างเป็นธรรมชาติแล้ว แม้จะมีคนมาชอบเราอยู่ ก็ยากที่จะทำให้ตนเองชอบอีกฝ่ายหนึ่งได้ ยิ่งกำลังฝึกเรื่องพาตัวใจกลับบ้านด้วยแล้ว ก็เป็นธรรมชาติอยู่เองที่อยากอยู่คนเดียวมากกว่าที่จะอยู่กับคนอื่น
หากใครยังมีความกลัวหรือกังวลที่จะต้องเผชิญชีวิตในวัยชราเพียงคนเดียว อยากมีคู่ และเข้าใจในสิ่งที่ดิฉันพูดเบื้องต้นแล้ว คนที่อยู่ในอริยโคตรด้วยกันเองน่าจะดูตัวอย่างของพระมหากัสสปะกับนางภัททา
พระมหากัสสปะมีชื่อเดิมว่า ปิปผลิมานพ เกิดในตระกูลพราหมณ์ พ่อแม่ต้องการให้แต่งงาน ในหนังสือบอกว่า เป็นคนไม่ชอบเพศตรงข้าม (อาจจะเป็นเกย์ก็ได้) อยากบวชอย่างเดียว จึงออกอุบายให้ช่างทางหล่อรูปปั้นทองคำเล็ก ๆ ของหญิงสาวสวยหยดย้อย แต่งตัวให้งาม โดยตั้งใจว่าพราหมณ์ ๘ คนที่พ่อแม่หามาช่วยจะไม่มีทางหาหญิงตามรูปปั้นได้แน่ แต่เมื่อพราหมณ์นำรูปปั้นนี้ไปแห่ตามเมืองต่าง ๆ ก็ได้พบหญิงที่หน้าตาตามที่ปั้นขึ้นมาจริง นางชื่อภัททา เป็นชาวเมืองสาคละ แคว้นมคธ ซึ่งสาวใช้ของนางภัททาไปพบการแห่รูปปั้นนี้ก่อน จึงกลับมาบอกนายหญิงของตน พราหมณ์ ๘ คนที่พ่อแม่ของปิปผลิมานพส่งออกมาหาเจ้าสาวก็ไปดูตัว เห็นพ้องกันว่า นางภัททานี้เหมือนรูปปั้นของหญิงในฝันของขิปผลิมานพจริง จึงเอารูปปั้นทองคำนั้นหมายมั่นนางไว้ และแจ้งให้เศรษฐีกบิลพราหมณ์ทราบ
ในที่สุด ทั้งสองก็ได้แต่งงานกัน และมาพบความจริงว่า ต่างฝ่ายต่างก็ต้องการบวช ไม่อยากแต่งงานมีครอบครัวเหมือนกัน จึงสัญญากันว่า จะไม่เกี่ยวข้องกันทางกายฉันสามีภรรยา จึงเอาช่อดอกไม้คั่นไว้ตรงกลางบนเตียงนอน และรอเวลาจนกระทั่งบิดามารดาเสียชีวิตไปแล้ว จึงตัดสินใจยกสมบัติพัสถานให้ผู้อื่นหมดและออกบวชทั้งสองคนจนในที่สุดก็สำเร็จเป็นพระอรหันต์ทั้งคู่
ทฤษฎีเรื่องความสมดุลของหยินหยาง
ดิฉันเห็นว่าเรื่องราวของปิปผลิมานพกับนางภัททายังน่าจะเป็นเรื่องที่ทำได้อยู่แม้ในยุคนี้ การที่ดิฉันได้มาใช้ชีวิตคู่ จึงเห็นความลึกซึ้งของธรรมชาติที่สร้างฝ่ายชายกับฝ่ายหญิงขึ้นมาให้พึ่งพาซึ่งกันและกัน เพื่อให้เกิดความสมดุลอย่างแท้จริง นี่คือปรัชญาความคิดเรื่องหยินหยางของชาวจีน ชายกับหญิงถูกสร้างมาให้มีความแตกต่างกันมาก ดังที่หมอดูพูดว่า ชายมาจากดาวอังคาร หญิงมาจากดาวศุกร์ Male comes from Mars and female comes from Venus. มีบางคนถึงขนาดคิดว่าหญิงกับชายไม่ใช่เพียงมาจากดาวเคราะห์ต่างกัน แต่มาจากต่างแกแลกซี่เลยทีเดียว
หญิงชายมีความแตกต่างกันมากนี่เป็นความตั้งใจของธรรมชาติ ตั้งแต่ความแตกต่างทางกายตลอดจนการคิดนึกและความสามารถซึ่งบางสิ่งจะทดแทนกันไม่ได้เลย เนื่องจากชายมีร่างกายแข็งแรงกว่า ในอดีต ชายจึงต้องเป็นฝ่ายออกไปล่าสัตว์หาอาหารมาเลี้ยงครอบครัว ในขณะที่ฝ่ายหญิงจะดูแลลูกและทำงานบ้าน ซึ่งบทบาทดั้งเดิมนี้แม้ได้เปลี่ยนแปลงไปบ้างแล้วในสังคมปัจจุบัน ก็ยังเปลี่ยนไม่มากเท่าไร หญิงที่ออกจากบ้านไปทำงานเท่าเทียมฝ่ายชาย หากมีครอบครัว แม้กลับถึงบ้านก็ยังไม่พ้นต้องดูแลลูกเต้าและทำงานบ้านเช่นเดิม ทำให้ต้องทำงานหนักกว่าชายถึงสองเท่า ใครมีฐานะดีพอที่จะจ้างแม่บ้านมาดูแลความสะอาดของบ้านช่องก็อีกเรื่องหนึ่ง
บ้านที่มีความลงตัวได้ดีทุกอย่าง ต้องเป็นบ้านที่มีทั้งชายและหญิงอยู่ด้วยกัน ซึ่งทั้งสองฝ่ายจะทำงานที่ตนถนัด ดิฉันมักล้อสามีเสมอว่า เขาตากผ้าไม่เป็น สามีก็มักล้อดิฉันว่าเปลี่ยนหลอดไฟไม่ได้ อ่านแผนที่ไม่เป็น ไม่รู้จักแยกขวาแยกซ้าย เป็นต้น ชายจะสามารถวาดภาพของแผนที่ในหัวตนเองได้ แต่หญิงทำไม่ค่อยได้ เรื่องที่ทำง่าย ๆ สำหรับหญิงจะกลายเป็นเรื่องยากของฝ่ายชาย และกลับกัน โดยเฉพาะเรื่องการเลี้ยงเด็กทารก เป็นเรื่องที่ทดแทนกันยากมาก
ผูกพันกันทางสายเลือด
นอกจากหญิงชายจะพึ่งพาซึ่งกันและกันในเรื่องงานต่าง ๆ ที่อยู่รอบตัวรอบบ้านแล้ว ธรรมชาติยังสร้างให้มาพึ่งพากันทางด้านอารมณ์ความรู้สึกด้วย เป็นธรรมชาติของมนุษย์ที่ต้องการความรัก ต้องมีคนที่เป็นห่วงเป็นใยเรา อยากรู้เรื่องสุขทุกข์ของเรา ซึ่งคนที่จะให้ความรักเช่นนั้นกับเราได้อย่างเป็นธรรมชาติที่สุดคือ พ่อแม่ของเราเท่านั้น คนที่ให้เราได้ถัดมาคือคู่ครองที่เรารักจริง และต่อมาคือลูกของเรา ซึ่งอาจจะให้ความรักแก่เราไม่เท่าที่เราในฐานะพ่อแม่ให้แก่ลูก ความรักที่จะได้รับจากคนอื่นก็น้อยลงแล้ว เพราะการเกี่ยวดองทางสายเลือดนี่ย่อมสร้างใยผูกพันที่เหนียวแน่นกว่าคนที่ไม่ได้เกี่ยวข้องทางสายเลือด จึงไม่เพียงพอที่เราจะพึ่งพาได้อย่างแท้จริง ฉะนั้น คนที่อยู่เป็นโสด ถึงจุดหนึ่งที่พ่อแม่เสียไปแล้ว จะเหงาและโดดเดี่ยวมาก จะรู้สึกขาดแคลนความรัก แม้ปฏิบัติธรรมอยู่ก็ตาม นอกจากว่าตนเองจะหมดปัญหา หลุดพ้นได้แล้วนั่นแหละ จึงจะไม่ถูกเรื่องความเหงาและความโดดเดี่ยวกัดเซาะเอา แม้จะมีสติเข้มข้นอย่างไร เจอรี่ตัวนี้จะหาทางเข้ามาในบ้านของเราได้เสมอ
สองหัวย่อมดีกว่าหัวเดียว
การพึ่งพาด้านจิตใจระหว่างชายกับหญิง จะเห็นได้ชัดเมื่อมีการออกจากบ้าน ต้องเข้าสังคมนั้น การมีคู่ครองของเราไปด้วยจะทำให้เกิดความอุ่นใจและมั่นใจในตนเองมากกว่าการไปไหนต่อไหนคนเดียว คู่ครองที่ดีมักจะตรวจสอบความรู้สึกของอีกฝ่ายหนึ่งเสมอ หากฝ่ายหนึ่งรู้สึกประหม่า ไม่มีความมั่นใจ อีกฝ่ายหนึ่งก็ต้องคอยดูแล เป็นเพื่อนคุยด้วย เหมือนต่างฝ่ายต่างเป็นหลักเกาะให้แก่กันและกัน จะทำให้ทั้งสองฝ่ายมีความมั่นคงมากขึ้น ไม่ล้มในทางอารมณ์ง่าย ๆ
โดยธรรมชาติของมนุษย์แล้ว ย่อมต้องการมีคนพูดคุยด้วย แม้เพียงคำพูดธรรมดา ๆ ว่า ข้าวราดแกงนี่อร่อยนะ ดอกกุหลาบนี่หอมจัง หรือ ต้องการให้ใครมาบอกเราว่าเสื้อผ้าชุดนี้สวยและเหมาะกับเรานะ เน็คไทเส้นนี้จะไปกับเสื้อเชิ๊ตตัวนี้ไหมหนอ ถ้ามีคนรับฟังเรา ก็จะรู้สึกอุ่นใจ ยิ่งวันไหนไปเจอเหตุการณ์ที่ผิดจากปกติ มีปัญหาเข้ามารุมเร้า กลับมาบ้านแล้ว ก็อยากมีคนคุยด้วย ระบายปัญหาให้ที่รุมเร้าใจออกไป สิ่งเหล่านี้เป็นแผนการณ์ของธรรมชาติที่ช่วยมนุษย์ระบายเจอรี่ออกจากใจของเรา และพยายามบอกมนุษย์ว่า “สองหัวย่อมดีกว่าหัวเดียว”
ถ้าโลกนี้ไม่มีผู้ชาย ก็คงไม่มีอารยธรรมทางวัตถุ การประดิษฐ์คิดค้นและการสร้างสรรค์งานที่ยิ่งใหญ่ต่าง ๆ ซึ่ง ๘๐ เปอร์เซนต์ล้วนเป็นผลงานของฝ่ายชาย ลองไปดูการสร้างตึกสูง ๆ นับร้อยชั้น สร้างสะพาน ทางรถไฟ อุโมงค์ใต้น้ำ ขุดเจาะน้ำมัน ล้วนต้องอาศัยแรงงานผู้ชายทั้งสิ้น แต่หากโลกนี้ไม่มีเพศแม่ มนุษย์ก็คงสูญพันธุ์ คงไม่มีมนุษย์เพศชายที่มาสร้างสรรค์อารยธรรมวัตถุเหล่านี้ คงไม่มีโลกมนุษย์
การมีคู่ครองก็คือการมีเพื่อนที่ดีที่สุดคนหนึ่ง เพื่อนธรรมดาถึงจุดหนึ่ง ก็จำเป็นต้องแยกย้ายกันไป แต่เพื่อนที่ดีที่สุดจะอยู่กับเราและดูแลซึ่งกันและกันไปจนวันตาย หากเป็นคู่ที่มีคุณธรรมใกล้เคียงกันแล้ว ก็น่าจะสามารถใช้ชีวิตอย่างปิปผลมานพและนางภัททา เป็นเรื่องที่คุยตกลงกันได้ แม้ไม่อยากมีลูก การมีคู่ครอง อย่างน้อยก็ไม่ทำให้ชีวิตเงียบเหงาจนเกินไป เป็นเพื่อนดูแลซึ่งกันและกัน เท่ากับใช้ทรัพยากรของชีวิตที่พระธรรมชาติเจ้าประทานมาให้อย่างดีที่สุดในขณะที่ยังอยู่ในคุกชิวิต และช่วยกันประคับประคองเพื่อเดินทางไปนิพพานด้วยกัน
ปัญหาเกิดเมื่อฝืนธรรมชาติ
สังคมในอดีตมักไม่ต้องคิดมาก การแต่งงานมีครอบครัวเป็นวัฒนธรรมที่ล้วนยอมรับกัน ค่านิยมเรื่องไม่อยากแต่งงานมีลูกเพราะไม่อยากมีภาระรับผิดชอบนี่เพิ่งมาเปลี่ยนแปลงมากในยุค ๓๐ ปีให้หลังนี้ เกิดจากขบวนการ women’s liberation เพศหญิง เรียกร้องสิทธิเสรีภาพเท่าเทียมฝ่ายชายมากขึ้น จนทำให้ฝ่ายหญิงมีบทบาททางสังคมมากขึ้น ออกมาหาเงินเป็นที่พึ่งของตัวเองได้ ความคิดเรื่องไม่แต่งงานและพึ่งตัวเองจึงเริ่มระบาดจากสังคมตะวันตกก่อน เมื่อหญิงออกมาทำงานมาก การเลี้ยงลูกจึงต้องถูกผลักภาระให้แก่ผู้อื่น เช่น ปู่ยาตายาย คนรับใช้ หรือไม่ก็สถานรับเลี้ยงเด็กต่าง ๆ เพราะเป็นเรื่องผิดธรรมชาติ ปัญหาสังคมจึงตามมาอันเนื่องจากเด็กขาดความรักความอบอุ่นจากพ่อแม่ที่เอาแต่ทำงานจนไม่มีเวลาให้ลูก
นอกจากนั้น ความกดดันของระบอบเศรษฐกิจและปัญหาสังคม การดิ้นรนตะเกียกตะกายเพื่อเลี้ยงชีวิตตนเองให้รอดยังเป็นเรื่องยากอยู่ หญิงชายไม่น้อยจึงกลัว ไม่กล้าคิดเรื่องมารับภาระของการมีครอบครัวเพิ่ม ทำให้คนอยากแต่งงานมีน้อยลงในยุคนี้ เป็นหน้าที่ของรัฐบาลโดยตรงที่จะต้องส่งเสริมให้สถาบันครอบครัวอยู่รอด ทำให้คู่แต่งงานที่มีลูกสามารถอยู่ได้ง่ายขึ้น โดยให้เสียภาษีน้อยลง อำนวยความสะดวกในเรื่องการให้แม่ได้ดูแลลูกเล็กของตน เป็นต้น เพราะถ้าสถาบันครอบครัวถูกส่งเสริมให้อยู่ได้ง่ายและประสบความสำเร็จแล้ว ปัญหาสังคมจะค่อย ๆ น้อยลงเอง
เสี่ยงทั้งนั้น
ที่พูดมาทั้งหมดนี้ ไม่ได้พูดกับคนที่ยังอยู่ในโคตรปุถุชน แต่พูดกับคนที่ได้ข้ามพรมแดนมาอยุ่ในอริยโคตรแล้ว แต่ยังมีความทุกข์อยู่ จึงอยากให้เห็นภาพใหญ่ของชีวิตและเข้าใจธรรมชาติของโลกมนุษย์และความลึกซึ้งของมัน ต้องไม่มองชีวิตแบบตัดตอน แต่มองอย่างครบวงจร การพูดครั้งนี้จึงพยายามหาทางออกให้แก่คนที่อยู่ในแต่ละกลุ่ม ซึ่งต้องเข้าใจว่า ไม่ว่าจะเลือกวิถีวิตแบบไหน ล้วนเป็นเรื่องของการเสี่ยงทั้งสิ้น เราอาจจะวางแผนสวยหรูไว้เช่นนี้ แต่ความเป็นจริงกลับกลายเป็นอีกเรื่องหนึ่ง เพราะทุกอย่างเป็นอนิจจัง
นอกจากนั้น ต้องยอมรับความจริงขั้นพื้นฐานว่า เรากำลังอยู่ในคุกชีวิตที่มีความทุกข์ ฉะนั้น ไม่ว่าใครจะเลือกวิถีชีวิตอะไรก็ตาม ล้วนต้องมีปัญหาและความทุกข์ที่แตกต่างกันทั้งสิ้น คนโสดก็ทุกข์อย่างคนโสด คนมีครอบครัวก็มีปัญหาและทุกข์อย่างคนมีครอบครัว สิ่งที่รับประกันได้ คือ ความทุกข์ที่เกิดจากการพลัดพราก ไม่ว่าจะจากกันไปไกล เช่น ลูกที่ต้องจากบ้านไปเรียนหรือทำงานไกล ๆ นาน ๆ จึงกลับบ้านมาดูหน้าพ่อแม่สักครั้งหนึ่ง หรือ การพลัดพรากเพราะความตาย ไม่ว่าใครจะเลือกวิถีชีวิตแบบไหน ล้วนต้องพบความพลัดพรากและต้องเป็นทุกข์ทั้งสิ้น ใครมีครอบครัว สิ่งที่หวังได้ดีที่สุดคือ ขอให้พ่อแม่ตายก่อนลูก ใครที่เป็นโสด อย่างน้อยก็ขอให้มีคนฝากผีฝากไข้ด้วย เมื่อความตายมาถึง ทั้งคนโสดและคนมีครอบครัวล้วนจากโลกนี้ไปมือเปล่าเท่าเทียมกันหมด
สรุป
ไม่ว่าจะเป็นโสดหรือมีครอบครัว เมื่อได้ข้ามพรมแดนมาสู่อริยโคตรแล้ว จับหลักเรื่องการพาตัวใจกลับบ้านได้แล้ว ทุกคนล้วนมีสิทธิ์เดินเข้าใกล้พระนิพพานและถึงพระนิพพานได้เท่าเทียมกันหมด ไม่มีกฏเกณฑ์บอกว่า คนโสดจะไปถึงนิพพานเร็วกว่าหรือช้ากว่าคนมีครอบครัว ใครที่ปฏิบัติถูกทาง ย่อมถึงพระนิพพานทั้งสิ้น
หวังว่าบทความนี้จะสามารถตอบคำถามของผู้อ่านที่เขียนเข้ามาถามปัญหาของการมีครอบครัว และหวังว่าทุกคนจะสามารถใช้สถานะของความเป็นมนุษย์ตลอดจนทรัพยกรชีวิต และธรรมชาติที่มีอยู่ในโลกมนุษย์ให้เป็นประโยชน์ต่อการปฏิบัติเพื่อเดินเข้าใกล้พระนิพพานให้มากขึ้น
ด้วยความเมตตา Very Happy
ศุภวรรณ พิพัฒพรรณวงศ์ กรีน
๖ กันยายน ๔๙
คนที่อายุยังน้อย เมื่อมาปฏิบัติธรรมแล้ว มักพูดเสมอว่า ไม่อยากแต่งงาน ไม่อยากมีลูก เพราะไม่อยากมีบ่วงผูกคอ ซึ่งเป็นการคิดและพูดตามพระพุทธเจ้า แต่ยุคสมัยได้เปลี่ยนไปแล้ว การเข้ามาพึ่งร่มโพธิ์ร่มไทรของพระพุทธศาสนาไม่ใช่เป็นเรื่องที่ทำได้ง่าย ๆ สำหรับคนยุคนี้แล้ว โดยเฉพาะเพศหญิง ใครจะบวชได้และอยู่ได้จริง ๆ จำเป็นต้องมีทุนทรัพย์ด้วย
เห็นคนเปลี่ยนทัศนะคติมาแล้ว
ตอนนี้ดิฉันสามารถเห็นภาพชีวิตของคนที่มีอายุมากขึ้นด้วย ฝรั่งที่ใช้ชีวิตในวัยชราอย่างโดดเดี่ยว ไม่มีใครดูแล บางคนตายเป็นอาทิตย์ เป็นเดือนแล้ว คนถึงจะรู้ ได้พบคนไม่น้อยที่เล่าถึงความห่วงใยในอานาคตของตนเองที่ต้องอยู่เพียงคนเดียวโดยไม่มีใครดูแล บางคนถึงขนาดกลัว ไม่สามารถขับไล่เจอรี่ตัวกลัวนี้ออกจากบ้านของใจ มันรบกวนมาก
คนที่อยู่ในวัยไม่เกิน ๓๕ นั้น มักจะคิดถึงชีวิตแบบตัดตอนโดยเอาความรู้สึกในขณะนี้เป็นเกณฑ์ตัดสิน เห็นว่าชีวิตก็มีความสุขดีนะ เพราะมีพ่อแม่พี่น้องอยู่ด้วยกันอย่างอบอุ่น ไม่เห็นจะต้องแต่งงานรับภาระการเลี้ยงลูกดูแลคู่ครองให้ยุ่งยากเปล่า ๆ ปฏิบัติธรรมไป ก็น่าจะอยู่ได้ แต่พอเข้าวัย ๔๐ แล้วสิ ความคิดเริ่มเปลี่ยน เพราะพ่อแม่ก็แก่เฒ่าชราลง หรืออาจจากเราไปแล้ว พี่น้องคนอื่นก็อาจจะแต่งงานมีครอบครัวของตนเอง จากครอบครัวที่เคยอบอุ่นเต็มไปด้วยผู้คนกลับเหลือสมาชิกน้อยลง ๆ พี่น้องที่มีครอบครัว เขาก็ไปสร้างสมาชิกใหม่ของเขา มีความรักความอบอุ่นเหมือนที่พ่อแม่มีเราตอนเราเล็ก ๆ แม้เพื่อน ๆ ก็ตาม เมื่อเขาแต่งงานไป จะค่อย ๆ ห่างและหดหายไปเช่นกัน หากเราไม่ได้แต่งงาน ไม่มีลูก แม้จะปฏิบัติธรรมก็ตาม จะยังไม่พ้นที่จะถูกความเงียบเหงาและความกลัวอนาคตหลอกเอาทั้งนั้นไม่ว่าชายหรือหญิง ยิ่งแก่ตัว คนรู้จักในรุ่นเดียวกันก็จะยิ่งน้อยลง ก็จะยิ่งคิดมาก อย่างน้อยพ่อแม่ที่ชราของเรามีเราเป็นคนดูแลท่าน พาท่านไปหาหมอ ดูแลปรนิบัติท่านในยามที่ท่านเจ็บป่วย แม้จากไปแล้ว ก็ยังมีเราเป็นภาระจัดงานศพแผ่ส่วนบุญกุศลไปให้ท่าน และเมื่อเราแก่เฒ่าชราล่ะ ใครจะดูแลเรา หากเราไม่มีลูก ใครจะทำสิ่งเหล่านี้ให้กับเรา มีหลายรายที่เขียนมาหาดิฉันเพื่อต้องการเค้นเอาคำตอบว่าจะแก้ปัญหาเรื่องความเหงา และการต่อสู้กับอนาคตอย่างโดดเดี่ยวได้อย่างไร
สัญชาติญาณคือธรรมชาติจัดสรร
ดิฉันจึงขอถือโอกาสนี้พูดตรง ๆ เลย ว่า คุณกำลังอยู่ในโลกมนุษย์อันเป็นคุกชีวิตที่ไม่มีอะไรสมบูรณ์เพียบพร้อมไปหมดทุกอย่าง จะขอไปนิพพานด้วยพร้อมกับอยู่ในโลกมนุษย์อันเป็นคุกชีวิตอย่างไม่ทุกข์เลยย่อมเป็นไปไม่ได้ ไม่ว่าจะอยู่เป็นโสด หรือเลือกการไม่มีลูก ล้วนต้องมีห่วง มีทุกข์กันคนละแบบทั้งสิ้น ถ้าต้องการความสุขเล็ก ๆ น้อย ๆ เช่นความอบอุ่นของการมีครอบครัว ก็ต้องยอมลงทุนโดยการรับภาระเลี้ยงลูก ต้องยอมเสี่ยงที่จะเป็นทุกข์ หากลูกไม่ได้เป็นไปตามที่เราคาดหวังไว้ หรืออาจมีเรื่องอะไรเกิดกับลูก นี่เป็นเรื่องของโลก ไม่มีทางเลือก
ต้องเข้าใจให้ถูกต้องว่า โลกมนุษย์คือโลกที่ต้องมีมนุษย์อยู่ ธรรมชาติจึงจัดสรรให้มนุษย์มีขบวนการสืบเผ่าพันธุ์ ความต้องการทางเพศจึงเป็นสัญชาติญาณที่รุนแรงมาก แรงพอ ๆ กับสัญชาติญาณของหญิงที่อยากเป็นแม่คน และแรงพอ ๆ กับสัญชาติญาณของแม่ที่ต้องการปกป้องลูกของตน เรื่องสัญชาติญาณนี่เป็นเรื่องลึกซึ้งและลึกลับของธรรมชาติ สัญชาติญาณที่รุนแรงเหล่านั้นล้วนเป็นแผนการณ์ให้มนุษย์จำเป็นต้องทิ้งเผ่าพันธุ์ไว้ในโลกมนุษย์ การฝืนธรรมชาติเหล่านี้ย่อมเป็นเรื่องยากมาก แม้ฝืนมันได้ โดยการไปบวชเป็นพระ ก็เห็นไม๊ล่ะว่า ทำไมจึงมีปัญหาเรื่องพระไปแอบเสพเมถุนกันมาก แม้ไม่บวชเป็นพระ นักปฏิบัติธรรมที่เป็นชายก็ล้วนถูกเรื่องกามราคะตามรังควานทั้งสิ้นอย่างที่หลายคนได้ประสบมา
ชีวิตมีทั้งแง่บวกและลบ
นอกจากนั้น ชีวิตมนุษย์เป็นชีวิตที่ต้องทำงานหาเงินเพื่อมาเลี้ยงชีวิตให้อยู่รอด ไม่มีความสามารถในการเนรมิตของทิพย์เหมือนประชากรของเทวดาในโลกสวรรค์ ธรรมชาติจึงสร้างมนุษย์ให้เป็นสัตว์สังคม ต้องอยู่กันเป็นคู่ เป็นครอบครัวเพื่อช่วยกันทำมาหากิน ช่วยกันเลี้ยงลูกเล็กให้เติบใหญ่ ความรักความอบอุ่นของครอบครัวที่มีคนที่เราพึ่งพาได้อย่างแท้จริงเป็นความสุขเล็ก ๆ น้อย ๆ ที่ทั้งมนุษย์และสัตว์พอจะหาได้ในขณะที่ยังอยู่ในคุกชีวิต
โลกมนุษย์นี้ไม่มีอะไรสมบูรณ์ เพราะมันเป็นคุก เราต้องยอมรับวิถีชีวิตที่ธรรมชาติสร้างให้ ซึ่งมีทั้งแง่บวกกับแง่ลบ ในสายตาของนักปฏิบัติธรรมเห็นการแต่งงานมีลูกเป็นภาระหนักที่จะถ่วงไม่ให้ตนเองไปนิพพาน แต่การอยู่คนเดียว ปฏิบัติธรรมก็ไม่ได้รับประกันว่า เราจะไปนิพพานได้เร็วกว่าคนที่มีครอบครัวที่ไหน ในทางตรงกันข้าม คนที่มีครอบครัวของตนเองนั้น จะมีประสบการณ์ชีวิตอีกมากมายที่คนไม่เคยมีครอบครัวจะไม่มีวันรู้ได้ เช่น การเป็นพ่อแม่คนมีความรู้สึกอย่างไร การเลี้ยงลูกเล็กมีความสุขอย่างไร การเสียสละความสุขส่วนตัวเพื่อรักมนุษย์อีกคนหนึ่งโดยไม่มีอะไรเคลือบแฝง นี่เป็นสิ่งที่คนไม่ได้เป็นพ่อแม่คนจะไม่มีโอกาสทำได้ แน่นอน การเลี้ยงลูกย่อมเป็นภาระ และเป็นบ่วงผูกคอ ไม่จำเป็นต้องเอ่ยถึงลูกเลว ๆ ที่นำปัญหามาให้พ่อแม่ต้องเสียใจ ทุกข์ใจ จนต้องพูดออกมาดัง ๆ ว่าหากไม่มีลูก คงดีกว่านี้
จะมองชีวิตแบบตัดตอนไม่ได้
สิ่งที่ดิฉันอยากให้คนปฏิบัติธรรมมองคือ ไม่ว่าจะแต่งงานหรือไม่แต่งงาน หรือ แต่งงานแล้วไม่มีลูกด้วยเหตุผลอะไรก็ตามแต่ ทุกคนล้วนมีทุกข์ มีปัญหาไปคนละแบบทั้งสิ้น ล้วนต้องตั้งความปรารถนาพระนิพพานทั้งสิ้น แต่ก่อนที่จะตัดสินใจเด็ดขาดว่า จะไม่แต่งงานและไม่อยากมีลูกนั้น ต้องพยายามมองภาพที่ไกลออกไป เพราะทุกคนล้วนต้องแก่ และอาจมีโรคภัยไข้เจ็บ และต้องตายทั้งสิ้น เพราะมีส่วนนี้แหละ วิถีของธรรมชาติจึงสร้างให้มนุษย์ต้องอยู่กันเป็นกลุ่มก้อนที่เราเรียกว่าสังคม ตั้งแต่สังคมครอบครัวขึ้นไปจนถึงระดับประเทศ เพื่อมนุษย์จะได้ดูแลซึ่งกันและกัน ฉะนั้น คุณจะมองแบบตัดตอนไม่ได้ คุณต้องมองให้เห็นภาพของตนเองในวัยชราที่กำลังเจ็บไข้ได้ป่วยด้วย คุณต้องมองให้ออกว่า ความสุขของพ่อแม่ของเราในขณะนี้คือ การได้อยู่ห้อมล้อมด้วยลูกหลานของตนเอง นี่คือความสุขเล็ก ๆ น้อย ๆ ของคนแก่ ล้วนมองไปที่หน้าบ้านเพื่อเอี้ยวคอมองว่าเมื่อไหร่ลูกหลานจะมาหาทั้งนั้นแหละ ลองไปสังเกตสิ ลูกหลานของคนอื่นก็ไม่เหมือนลูกหลานของเราเอง ขอยกเว้นกรณีพิเศษที่ลูกหลานคนอื่นดีกว่าลูกหลานของตัวเองซึ่งมีน้อย ฉะนั้น ต้องมองตนเองในวัยชราที่อยู่โดดเดี่ยว เราจะไม่มีความสุขเล็ก ๆ น้อย ๆ อย่างที่พ่อแม่เรามีอยู่ในขณะนี้
ถูกแม่ดุ
แม้ดิฉันเอง ขณะอยู่ในวัยสามสิบกว่ามีลูกเล็กสามคนแล้ว กลับมาหาแม่ทีไร ก็มักพูดว่าอยากกลับมาอยู่กับแม่และพี่น้องที่เมืองไทย จนแม่ต้องดุดิฉันเลยว่า มีสามีมีลูกแล้ว ก็ต้องคิดอยู่กับครอบครัวของตัวเองสิ จะคิดไปอยู่กับคนอื่นได้อย่างไร เห็นไม๊ แม่พูดเองว่า พี่น้องเป็นคนอื่น ยังรู้สึกผิดหวังว่าทำไมแม่พูดเช่นนั้น และทำไมตอนที่เรามีลูกเล็ก ผู้ใหญ่จึงพูดเหมือนกันหมดว่า หนูนี่โชคดีจัง มีลูกชายน่ารักถึง ๓ คน ถูกละ ความรู้สึกสุขและสวยงามจากการมีลูกก็มีอยู่ แต่ตอนนั้นฟังแล้วก็ยังขัดกับความรู้สึกบางอย่างของตนเองบ้าง เพราะเหนื่อยมากจากการเลี้ยงลูก แถมเงินทองก็ไม่ค่อยมี เห็นแต่ภาระที่หนักหน่วง
แต่ตอนนี้ดิฉันเข้าใจมากขึ้นแล้วว่าทำไมผู้ใหญ่จึงมักพูดเช่นนั้น เห็นปู่ย่าตาทวดบางคนที่ผ่านชีวิตมามาก พร้อมกับเห็นปัญหาและความทุกข์มากมายที่ลูกหลานนำมาในช่วง ๕๐ ปี แต่คนชราเหล่านี้ ก็ยังพูดเหมือนกันหมดว่า ไม่เสียใจที่มีลูก ไม่ว่าจะเป็นอย่างไร ยังสนับสนุนให้คนมีครอบครัวดีกว่า นี่คือความลึกซึ้งของชีวิตที่เข้าใจได้ยาก ต้องมีประสบการณ์เท่านั้น จึงจะรู้ได้
ต้องกล้าเผชิญปัญหา
ฉะนั้น หากใครตัดสินใจไม่อยากมีครอบครัว ก็ต้องมีความกล้าหาญที่จะเผชิญกับปัญหาความเงียบเหงาและการดูแลตนเองในยามแก่เฒ่า จะต้องยอมรับว่านี่เป็นการตัดสินใจของตนเอง และเตรียมตัวรับปัญหาเหล่านั้น จะต้องวางแผนให้ดีว่าจะทำอะไรกับตัวเองอย่างไร ซึ่งคนโสดส่วนมากมักไปอยู่วัด
ส่วนใครที่มีลูก ก็ไม่ได้รับประกันเช่นกันว่า ลูกจะมาเลี้ยงเราในยามแก่เฒ่า ลูกที่แต่งงานแล้ว รักแต่สามีหรือภรรยาและลูกของตัวเองโดยไม่เหลียวแลพ่อแม่ชราก็มีถมไป สังคมเปลี่ยนไปมากแล้ว สิ่งเหล่านี้ล้วนเป็นความเสี่ยงเหมือนการซื้อล๊อตเตอรี่ ไม่มีทางรู้ว่ามันจะออกหัวหรือออกก้อย ต้องจำไว้เสมอว่า เรากำลังอยู่ในคุกชีวิตที่ไม่มีอะไรสมบูรณ์ เพียบพร้อม ล้วนต้องเสี่ยง หรือไม่ก็ต้องลงทุนเพื่อให้ได้สิ่งที่ต้องการมาทั้งสิ้น
ครอบครัวใหญ่
การที่พระพุทธเจ้าสร้างสังคมของบรรพชิตขึ้นมา ก็เพื่อสร้างทางลัดให้คนเดินไปนิพพานได้เร็วขึ้นโดยไม่ต้องมีภาระหาเลี้ยงชีพ นอกจากนั้น สังคมบรรพชิตก็เหมือนเป็นครอบครัวใหญ่ที่พระบรมศาสดาหวังจะให้ภิกษุดูแลกันเอง เมื่อครั้งที่ท่านเสด็จไปดูแลพระรูปหนึ่งที่เจ็บไข้ได้ป่วยเพราะไม่มีใครดูแล ทรงเช็ดถูกายให้ เสร็จแล้ว ท่านก็ตรัสเตือนภิกษุทั้งหลายว่า หากภิกษุไม่ช่วยดูแลกันเองในยามเจ็บไข้แล้ว จะไปหวังให้ใครมาช่วยดูแลหรือ เป็นการบอกพระภิกษุสาวกว่า สังคมของสงฆ์นี่แหละคือครอบครัวใหม่ของตนเองแล้ว จำเป็นที่จะต้องคอยสอดส่องและดูแลกันเอง ซึ่งดิฉันก็ไม่ทราบว่า ภิกษุของยุคสมัยนี้ยังคงปฏิบัติต่อกันเช่นนี้หรือไม่ ถ้าเป็นพระที่มีชื่อเสียง เป็นครูบาอาจารย์หรือเป็นเจ้าอาวาสก็คงไม่มีปัญหา ย่อมมีลูกศิษย์คอยดูแล อย่างเช่น หลวงปู่ชา แต่พระที่ไม่มีบทบาทอะไรต่อสังคมแล้ว เมื่อเจ็บไข้ได้ป่วย ก็ยังคงเป็นหน้าที่ของครอบครัวตนเองที่จะต้องมารับภาระดูแลท่าน
สังคมอโศกเป็นตัวอย่างที่ดี
ส่วนทางออกของคนที่ไม่คิดบวชและไม่อยากแต่งงานมีครอบครัว ก็ต้องสร้างสังคมของตนเองขึ้นมาที่จะช่วยดูแลกันเองได้ คือ สร้างสังคมของญาติธรรม มาเป็นญาติกันในทางธรรม ซึ่งสังคมของชาวอโศกที่นำโดยท่านโพธิรักษ์จะเป็นตัวอย่างที่ดีมากของสังคมดังกล่าว หรือไม่เช่นนั้นก็ไปอยู่วัด หรือ อาศรมต่าง ๆ ที่มีผู้นำทางธรรมได้สร้างสังคมไว้แล้ว เช่น อาศรมมาตา เป็นต้น แต่หมายความว่า เรายังต้องเสียสละอิสรภาพส่วนตัวบ้างที่จะมาสร้างญาติทางธรรม มาเป็นส่วนหนึ่งของสังคมเช่นนี้ จะต้องมีทั้งการให้และการรับที่สมดุลกัน give and take เราไม่สามารถคาดหวังให้ใครมาดูแลเราในยามเจ็บไข้ หากเราไม่เคยไปดูแลคนอื่นเลย ในขณะที่การมีครอบครัวของตนเอง ก็เหมือนการบังคับให้ดูแลกันเองไปในตัวตามที่ธรรมชาติสร้างมา
การสร้างสังคมของญาติธรรมก็ไม่ใช่เป็นคำตอบสำหรับทุกคนเสมอไป เพราะคนปฏิบัติธรรมส่วนมากก็ไม่ค่อยอยากยุ่งกับใครมากอยู่แล้ว ยิ่งถ้าไม่ใช่ครอบครัวคนใกล้ชิดของตนเอง อยากมีชีวิตเป็นส่วนตัวของตนเองมากกว่า สังคมของกัลยาณมิตรเช่นนี้ก็ไม่ใช่ว่าจะไม่มีปัญหาเลย แม้สังคมที่มีแต่พระอรหันต์เท่านั้นก็ยังมีปัญหาหากต้องมีการพูดคุย สื่อสาร และทำงานร่วมกัน นี่เป็นเรื่องธรรมดา
สร้างสังคมกัลยาณมิตรของตนเอง
ใครที่ไม่พร้อมจะอยู่กับคนหมู่มากดังเช่นสังคมของชาวอโศก ก็อาจจะสร้างสังคมกลุ่มเล็ก ๆ ที่มีกัลยาณมิตรที่ไม่ได้แต่งงานเหมือนกัน เป็นชมรมเล็ก ๆ สร้างความสัมพันที่ใกล้ชิดต่อกันเพื่อจะได้ช่วยเหลือดูแลกันเอง แต่เห็นหรือไม่ว่า ไม่ว่าทางออกจะเป็นอะไร ล้วนต้องเกี่ยวข้องกับการลงทุนซึ่งเป็นการเสียสละความเห็นแก่ตัวตนทั้งสิ้น เหมือนพ่อแม่ที่ต้องเสียสละเพื่อเลี้ยงลูกจนโต จึงจะมีลูกมาดูแลตัวเองในยามแก่เฒ่า
และต้องอย่าลืมว่า เพื่อนที่จะมาใส่ใจดูแลเพื่อนด้วยกันเองอย่างทุ่มเทนั้น มีน้อยมากในสังคมแห่งความเป็นจริง ไป ๆ มา ๆ มักเหลือแต่ ลูกหลานที่เกี่ยวดองกันทางสายเลือดใกล้ชิดจริง ๆ เท่านั้น นี่แหละ ธรรมชาติจึงสร้างให้มนุษย์และสัตว์เดรัจฉานอยู่เป็นคู่ ๆ เพราะคู่ครองของเรา ไม่ใช่ใครอื่น เขาคือ เพื่อนที่ดีที่สุดของเรานั่นเอง และต้องอย่าลืมว่า เพื่อนที่อายุไล่เลี่ยกันย่อมเข้าสู่วัยชราพร้อมกันด้วย จะให้มานั่งเยี่ยมเยียนกันเพื่อดูว่าอีกฝ่ายสบายดีหรือไม่เหมือนตอนที่ยังหนุ่มสาวอยู่ ย่อมเป็นไปไม่ได้ นี่เป็นเหตุผลที่ธรรมชาติสร้างให้มีการสืบเผ่าพันธุ์ เพื่อคนอายุน้อยกว่าจะได้มาดูแลคนอายุมากกว่า เป็นเรื่องที่ธรรมชาติจัดสรรให้อย่างเหมาะเจาะแล้ว
การมีบุตรชายไว้สืบสกุลจึงกลายเป็นเรื่องใหญ่มากของสังคมส่วนมากตั้งแต่โบราณกาลมาแล้ว เหมือนเป็นสัญชาติญาณที่ไม่จำเป็นต้องสอนมาก เพราะกลไกของธรรมชาติชักใยอยู่เบื้องหลังนั่นเอง การมีครอบครัวจึงเป็นเรื่องลึกซึ้งมาก ไม่ใช่เรื่องตื้น ๆ เลย และไม่ใช่เรื่องที่จะมาเปลี่ยนแปลงเอาง่าย ๆ ด้วย
ต้องสอนเด็ก ๆ เรื่องกตัญญู
ในสังคมตะวันออกที่มีอิทธิพลของพระพุทธศาสนานั้น การดูแลพ่อแม่เป็นเรื่องกตัญญูกตเวที เป็นการเสริมความต้องการของธรรมชาติในเรื่องการดูแลมนุษย์ที่แก่เฒ่าให้เข้มข้นมากขึ้น ทำให้สมาชิกของสังคมไม่ลืมหน้าที่พื้นฐานของตนเอง
สังคมตะวันตกยังขาดความรู้เรื่องนิพพาน พร้อมสถาบันศาสนาตลอดจนถึงระบบจริยธรรมของเขาก็อ่อนแอลง ในช่วง ๒๐ - ๓๐ ปีให้หลังนี้ สังคมเปลี่ยนไปมาก คนเห็นแก่ตัวมีมากขึ้น ประเด็นเรื่องการมีลูกเพื่อเลี้ยงดูพ่อแม่ในยามแก่เฒ่าจึงถูกบิดเบือนให้เห็นเป็นเรื่องความเห็นแก่ตัวของพ่อแม่ เด็กตะวันตกของยุคนี้ เมื่อมีปากเสียงกับพ่อแม่ มักพูดด้วยความโกรธใส่หน้าพ่อแม่ว่าเห็นแก่ตัว มีลูกเพียงเพื่อให้มาเลี้ยงดูตนเองเท่านั้น ตำหนิพ่อแม่ว่าไม่ได้รักลูกอย่างแท้จริง รักแต่ตัวเองเท่านั้น พ่อแม่ไม่น้อยก็พลอยสนับสนุนความคิดนี้โดยพูดว่า ที่ตนเองมีลูกก็ไม่ได้หวังให้ลูกมาเลี้ยงตัวเองหรอก ด้วยความกลัวคนตำหนิว่าตนเองจะเห็นแก่ตัว ไม่ได้รักลูกจริง คนตะวันตกจึงไม่เข้าใจเรื่องความกตัญญูต่อพ่อแม่ ตีความว่าพ่อแม่เลี้ยงเรามาเพื่อหวังสิ่งตอบแทนคือให้เราเลี้ยงดูเขา ความคิดนี้ก็ได้ระบาดเข้ามาในสังคมตะวันออกด้วย ดังที่เคยฟังพ่อแม่ไทยพูดในทำนองนี้ ซึ่งเป็นการคิดที่ผิดทำนองคลองธรรมไปหมด เป็นความคิดที่อันตรายมาก
ที่จริงแล้ว การสอนลูกให้กตัญญูต่อพ่อแม่โดยเลี้ยงดูท่านในยามแก่เฒ่าเป็นการสอนที่ถูกต้องแล้ว ไม่ใช่เรื่องเห็นแก่ตัวของใครทั้งสิ้น นี่เป็นความต้องการของธรรมชาติ การที่พ่อแม่คาดหวังให้ลูกเลี้ยงดูตนเองไม่ใช่เป็นเรื่องผิด และไม่ใช่เรื่องเห็นแก่ตัวแต่อย่างใด จะมีพ่อแม่คนไหนบ้างที่ไม่หวังฝากผีฝากไข้กับลูกของตน แม้คนที่พูดว่าไม่คาดหวังอะไรจากลูกก็ตาม เมื่อถึงเวลาแก่เฒ่า ช่วยตัวเองไม่ได้ ก็ต้องหวังพึ่งลูกทั้งสิ้น นี่เป็นเรื่องธรรมชาติมาก คนไทยเราไม่ควรพูดอะไรตามก้นฝรั่งไปหมด เขาพูดอย่างคนหลงทิศชีวิต ใครจะพูดเรื่องนี้ ต้องระวังให้ดี ต้องพูดให้เด็ก ๆ มีความกตัญญูรู้คุณพ่อแม่ เห็นพ่อแม่เป็นเนื้อนาบุญที่ตนเองสามารถปลูกต้นบุญเพื่อไปนิพพาน การเลี้ยงดูพ่อแม่ในยามที่ท่านแก่เฒ่า จึงเป็นการปลูกต้นบุญให้ตนเอง เป็นเรื่องที่นำศิริมงคลมาสู่ชีวิตตนเอง
สร้างเมตตาบารมี
คนที่แต่งงานแล้ว แต่ไม่อยากมีลูกเป็นบ่วงผูกคอ และห่วงว่าลูกที่เกิดมาอาจจะดีหรืออาจจะไม่ดี ถ้าลูกไม่ดีมาเกิดแล้ว จะทำให้ชีวิตยิ่งยุ่ง ยิ่งทุกข์มากกว่าเป็นสุข
ขอตกลงกันก่อนว่า ดิฉันกำลังพูดกับคนปฏิบัติธรรมที่ได้ละทิ้งโคตรปุถุชนมาแล้ว ได้ข้ามพรมแดนมาสู่อริยโคตรแล้ว จึงพูดให้คนคิดใหม่ว่า การผลิตมนุษย์อีกคนหนึ่งขึ้นมาในโลกนี้ เท่ากับช่วยให้อีกชีวิตหนึ่งในสังสารวัฏมีโอกาสมาเกิดเป็นมนุษย์และพบพระพุทธศาสนา เพื่อเขาจะได้มีโอกาสต่อยอดทางธรรม เดินทางต่อไปให้ถึงพระนิพพานเหมือนที่เรากำลังทำอยู่ในขณะนี้ เท่ากับเป็นการสร้างเมตตาบารมีให้กับตนเองด้วย
หากใครแต่งงานแล้ว คิดจะมีลูก ควรตั้งจิตอธิษฐานขอให้จิตวิญญาณที่มีบารมีทางธรรมหรืออาจได้เคยข้ามโคตรมาแล้วได้รับรู้ เพื่อต้อนรับจิตวิญญาณที่มีบุญบารมีนั้นมาสู่ครรภ์ของตน ในขณะเดียวกัน จิตวิญญาณที่ได้สร้างบารมีทางธรรมมาแล้วก็ย่อมสรรหาครรภ์ของมารดาที่มีคุณธรรมเช่นกัน เรื่องการเกิดมาเป็นพ่อแม่ลูกกันนั้น เป็นเรื่องที่เกี่ยวข้องกับบุญบารมีและวิบากกรรมโดยตรง แม้เด็กที่มาเกิดกับเราไม่เคยข้ามโคตรมาก่อน แต่การเกิดมาในครอบครัวของคนปฏิบัติธรรม มุ่งนิพพานย่อมเป็นสภาพแวดล้อมที่สามารถบ่มเพาะช่วยให้มนุษย์อีกคนหนึ่งก้าวข้ามโคตรได้เช่นกัน เพราะภพภูมิมนุษย์นี้เหมาะสำหรับการปฏิบัติธรรมเพื่อไปนิพพานมากที่สุด การคิดได้เช่นนี้ ก็เท่ากับมีเมตตาแก่เพื่อนร่วมเกิดแก่เจ็บตายที่วนเวียนอยู่ในสังสารวัฏเหมือนเรา เมื่อลูกที่มีบุญมาเกิดกับเราได้เช่นนี้ ก็จะสามารถช่วยกันประคับประคองเพื่อต่อยอดเดินทางไปนิพพาน นี่เป็นเหตุปัจจัยที่คู่แต่งงานสามารถทำให้มันเกิดได้
แต่ไม่ว่าจะเลือกทางใด ล้วนต้องมีการลงทุนก่อนทั้งสิ้น คือ ต้องเสียสละความสุขส่วนตัวเลี้ยงลูกให้โต เพื่อลูกจะได้ดูแลเราในยามแก่เฒ่า ทั้งนี้ทั้งนั้น ก็ต้องไม่ลืมเรื่องกฎแห่งอนิจจังและความเสี่ยงว่ามันอาจจะไม่เหมือนที่คิด ที่คาดหวังไว้ ก็เพียงทำในสิ่งที่ถูกต้องให้ดีที่สุดเท่านั้นเอง
พระมหากัสสปกับนางภัททา
คนที่ได้ข้ามพรมแดนมาสู่โคตรอริยะแล้วนั้น หากเป็นโสดอยู่ ย่อมอยากได้คู่ครองที่ได้ข้ามพรมแดนมาแล้วเช่นกัน เรื่องการหาคู่นี่เป็นเรื่องยากมาก หากไม่ได้ “ปิ๊ง” กันอย่างเป็นธรรมชาติแล้ว แม้จะมีคนมาชอบเราอยู่ ก็ยากที่จะทำให้ตนเองชอบอีกฝ่ายหนึ่งได้ ยิ่งกำลังฝึกเรื่องพาตัวใจกลับบ้านด้วยแล้ว ก็เป็นธรรมชาติอยู่เองที่อยากอยู่คนเดียวมากกว่าที่จะอยู่กับคนอื่น
หากใครยังมีความกลัวหรือกังวลที่จะต้องเผชิญชีวิตในวัยชราเพียงคนเดียว อยากมีคู่ และเข้าใจในสิ่งที่ดิฉันพูดเบื้องต้นแล้ว คนที่อยู่ในอริยโคตรด้วยกันเองน่าจะดูตัวอย่างของพระมหากัสสปะกับนางภัททา
พระมหากัสสปะมีชื่อเดิมว่า ปิปผลิมานพ เกิดในตระกูลพราหมณ์ พ่อแม่ต้องการให้แต่งงาน ในหนังสือบอกว่า เป็นคนไม่ชอบเพศตรงข้าม (อาจจะเป็นเกย์ก็ได้) อยากบวชอย่างเดียว จึงออกอุบายให้ช่างทางหล่อรูปปั้นทองคำเล็ก ๆ ของหญิงสาวสวยหยดย้อย แต่งตัวให้งาม โดยตั้งใจว่าพราหมณ์ ๘ คนที่พ่อแม่หามาช่วยจะไม่มีทางหาหญิงตามรูปปั้นได้แน่ แต่เมื่อพราหมณ์นำรูปปั้นนี้ไปแห่ตามเมืองต่าง ๆ ก็ได้พบหญิงที่หน้าตาตามที่ปั้นขึ้นมาจริง นางชื่อภัททา เป็นชาวเมืองสาคละ แคว้นมคธ ซึ่งสาวใช้ของนางภัททาไปพบการแห่รูปปั้นนี้ก่อน จึงกลับมาบอกนายหญิงของตน พราหมณ์ ๘ คนที่พ่อแม่ของปิปผลิมานพส่งออกมาหาเจ้าสาวก็ไปดูตัว เห็นพ้องกันว่า นางภัททานี้เหมือนรูปปั้นของหญิงในฝันของขิปผลิมานพจริง จึงเอารูปปั้นทองคำนั้นหมายมั่นนางไว้ และแจ้งให้เศรษฐีกบิลพราหมณ์ทราบ
ในที่สุด ทั้งสองก็ได้แต่งงานกัน และมาพบความจริงว่า ต่างฝ่ายต่างก็ต้องการบวช ไม่อยากแต่งงานมีครอบครัวเหมือนกัน จึงสัญญากันว่า จะไม่เกี่ยวข้องกันทางกายฉันสามีภรรยา จึงเอาช่อดอกไม้คั่นไว้ตรงกลางบนเตียงนอน และรอเวลาจนกระทั่งบิดามารดาเสียชีวิตไปแล้ว จึงตัดสินใจยกสมบัติพัสถานให้ผู้อื่นหมดและออกบวชทั้งสองคนจนในที่สุดก็สำเร็จเป็นพระอรหันต์ทั้งคู่
ทฤษฎีเรื่องความสมดุลของหยินหยาง
ดิฉันเห็นว่าเรื่องราวของปิปผลิมานพกับนางภัททายังน่าจะเป็นเรื่องที่ทำได้อยู่แม้ในยุคนี้ การที่ดิฉันได้มาใช้ชีวิตคู่ จึงเห็นความลึกซึ้งของธรรมชาติที่สร้างฝ่ายชายกับฝ่ายหญิงขึ้นมาให้พึ่งพาซึ่งกันและกัน เพื่อให้เกิดความสมดุลอย่างแท้จริง นี่คือปรัชญาความคิดเรื่องหยินหยางของชาวจีน ชายกับหญิงถูกสร้างมาให้มีความแตกต่างกันมาก ดังที่หมอดูพูดว่า ชายมาจากดาวอังคาร หญิงมาจากดาวศุกร์ Male comes from Mars and female comes from Venus. มีบางคนถึงขนาดคิดว่าหญิงกับชายไม่ใช่เพียงมาจากดาวเคราะห์ต่างกัน แต่มาจากต่างแกแลกซี่เลยทีเดียว
หญิงชายมีความแตกต่างกันมากนี่เป็นความตั้งใจของธรรมชาติ ตั้งแต่ความแตกต่างทางกายตลอดจนการคิดนึกและความสามารถซึ่งบางสิ่งจะทดแทนกันไม่ได้เลย เนื่องจากชายมีร่างกายแข็งแรงกว่า ในอดีต ชายจึงต้องเป็นฝ่ายออกไปล่าสัตว์หาอาหารมาเลี้ยงครอบครัว ในขณะที่ฝ่ายหญิงจะดูแลลูกและทำงานบ้าน ซึ่งบทบาทดั้งเดิมนี้แม้ได้เปลี่ยนแปลงไปบ้างแล้วในสังคมปัจจุบัน ก็ยังเปลี่ยนไม่มากเท่าไร หญิงที่ออกจากบ้านไปทำงานเท่าเทียมฝ่ายชาย หากมีครอบครัว แม้กลับถึงบ้านก็ยังไม่พ้นต้องดูแลลูกเต้าและทำงานบ้านเช่นเดิม ทำให้ต้องทำงานหนักกว่าชายถึงสองเท่า ใครมีฐานะดีพอที่จะจ้างแม่บ้านมาดูแลความสะอาดของบ้านช่องก็อีกเรื่องหนึ่ง
บ้านที่มีความลงตัวได้ดีทุกอย่าง ต้องเป็นบ้านที่มีทั้งชายและหญิงอยู่ด้วยกัน ซึ่งทั้งสองฝ่ายจะทำงานที่ตนถนัด ดิฉันมักล้อสามีเสมอว่า เขาตากผ้าไม่เป็น สามีก็มักล้อดิฉันว่าเปลี่ยนหลอดไฟไม่ได้ อ่านแผนที่ไม่เป็น ไม่รู้จักแยกขวาแยกซ้าย เป็นต้น ชายจะสามารถวาดภาพของแผนที่ในหัวตนเองได้ แต่หญิงทำไม่ค่อยได้ เรื่องที่ทำง่าย ๆ สำหรับหญิงจะกลายเป็นเรื่องยากของฝ่ายชาย และกลับกัน โดยเฉพาะเรื่องการเลี้ยงเด็กทารก เป็นเรื่องที่ทดแทนกันยากมาก
ผูกพันกันทางสายเลือด
นอกจากหญิงชายจะพึ่งพาซึ่งกันและกันในเรื่องงานต่าง ๆ ที่อยู่รอบตัวรอบบ้านแล้ว ธรรมชาติยังสร้างให้มาพึ่งพากันทางด้านอารมณ์ความรู้สึกด้วย เป็นธรรมชาติของมนุษย์ที่ต้องการความรัก ต้องมีคนที่เป็นห่วงเป็นใยเรา อยากรู้เรื่องสุขทุกข์ของเรา ซึ่งคนที่จะให้ความรักเช่นนั้นกับเราได้อย่างเป็นธรรมชาติที่สุดคือ พ่อแม่ของเราเท่านั้น คนที่ให้เราได้ถัดมาคือคู่ครองที่เรารักจริง และต่อมาคือลูกของเรา ซึ่งอาจจะให้ความรักแก่เราไม่เท่าที่เราในฐานะพ่อแม่ให้แก่ลูก ความรักที่จะได้รับจากคนอื่นก็น้อยลงแล้ว เพราะการเกี่ยวดองทางสายเลือดนี่ย่อมสร้างใยผูกพันที่เหนียวแน่นกว่าคนที่ไม่ได้เกี่ยวข้องทางสายเลือด จึงไม่เพียงพอที่เราจะพึ่งพาได้อย่างแท้จริง ฉะนั้น คนที่อยู่เป็นโสด ถึงจุดหนึ่งที่พ่อแม่เสียไปแล้ว จะเหงาและโดดเดี่ยวมาก จะรู้สึกขาดแคลนความรัก แม้ปฏิบัติธรรมอยู่ก็ตาม นอกจากว่าตนเองจะหมดปัญหา หลุดพ้นได้แล้วนั่นแหละ จึงจะไม่ถูกเรื่องความเหงาและความโดดเดี่ยวกัดเซาะเอา แม้จะมีสติเข้มข้นอย่างไร เจอรี่ตัวนี้จะหาทางเข้ามาในบ้านของเราได้เสมอ
สองหัวย่อมดีกว่าหัวเดียว
การพึ่งพาด้านจิตใจระหว่างชายกับหญิง จะเห็นได้ชัดเมื่อมีการออกจากบ้าน ต้องเข้าสังคมนั้น การมีคู่ครองของเราไปด้วยจะทำให้เกิดความอุ่นใจและมั่นใจในตนเองมากกว่าการไปไหนต่อไหนคนเดียว คู่ครองที่ดีมักจะตรวจสอบความรู้สึกของอีกฝ่ายหนึ่งเสมอ หากฝ่ายหนึ่งรู้สึกประหม่า ไม่มีความมั่นใจ อีกฝ่ายหนึ่งก็ต้องคอยดูแล เป็นเพื่อนคุยด้วย เหมือนต่างฝ่ายต่างเป็นหลักเกาะให้แก่กันและกัน จะทำให้ทั้งสองฝ่ายมีความมั่นคงมากขึ้น ไม่ล้มในทางอารมณ์ง่าย ๆ
โดยธรรมชาติของมนุษย์แล้ว ย่อมต้องการมีคนพูดคุยด้วย แม้เพียงคำพูดธรรมดา ๆ ว่า ข้าวราดแกงนี่อร่อยนะ ดอกกุหลาบนี่หอมจัง หรือ ต้องการให้ใครมาบอกเราว่าเสื้อผ้าชุดนี้สวยและเหมาะกับเรานะ เน็คไทเส้นนี้จะไปกับเสื้อเชิ๊ตตัวนี้ไหมหนอ ถ้ามีคนรับฟังเรา ก็จะรู้สึกอุ่นใจ ยิ่งวันไหนไปเจอเหตุการณ์ที่ผิดจากปกติ มีปัญหาเข้ามารุมเร้า กลับมาบ้านแล้ว ก็อยากมีคนคุยด้วย ระบายปัญหาให้ที่รุมเร้าใจออกไป สิ่งเหล่านี้เป็นแผนการณ์ของธรรมชาติที่ช่วยมนุษย์ระบายเจอรี่ออกจากใจของเรา และพยายามบอกมนุษย์ว่า “สองหัวย่อมดีกว่าหัวเดียว”
ถ้าโลกนี้ไม่มีผู้ชาย ก็คงไม่มีอารยธรรมทางวัตถุ การประดิษฐ์คิดค้นและการสร้างสรรค์งานที่ยิ่งใหญ่ต่าง ๆ ซึ่ง ๘๐ เปอร์เซนต์ล้วนเป็นผลงานของฝ่ายชาย ลองไปดูการสร้างตึกสูง ๆ นับร้อยชั้น สร้างสะพาน ทางรถไฟ อุโมงค์ใต้น้ำ ขุดเจาะน้ำมัน ล้วนต้องอาศัยแรงงานผู้ชายทั้งสิ้น แต่หากโลกนี้ไม่มีเพศแม่ มนุษย์ก็คงสูญพันธุ์ คงไม่มีมนุษย์เพศชายที่มาสร้างสรรค์อารยธรรมวัตถุเหล่านี้ คงไม่มีโลกมนุษย์
การมีคู่ครองก็คือการมีเพื่อนที่ดีที่สุดคนหนึ่ง เพื่อนธรรมดาถึงจุดหนึ่ง ก็จำเป็นต้องแยกย้ายกันไป แต่เพื่อนที่ดีที่สุดจะอยู่กับเราและดูแลซึ่งกันและกันไปจนวันตาย หากเป็นคู่ที่มีคุณธรรมใกล้เคียงกันแล้ว ก็น่าจะสามารถใช้ชีวิตอย่างปิปผลมานพและนางภัททา เป็นเรื่องที่คุยตกลงกันได้ แม้ไม่อยากมีลูก การมีคู่ครอง อย่างน้อยก็ไม่ทำให้ชีวิตเงียบเหงาจนเกินไป เป็นเพื่อนดูแลซึ่งกันและกัน เท่ากับใช้ทรัพยากรของชีวิตที่พระธรรมชาติเจ้าประทานมาให้อย่างดีที่สุดในขณะที่ยังอยู่ในคุกชิวิต และช่วยกันประคับประคองเพื่อเดินทางไปนิพพานด้วยกัน
ปัญหาเกิดเมื่อฝืนธรรมชาติ
สังคมในอดีตมักไม่ต้องคิดมาก การแต่งงานมีครอบครัวเป็นวัฒนธรรมที่ล้วนยอมรับกัน ค่านิยมเรื่องไม่อยากแต่งงานมีลูกเพราะไม่อยากมีภาระรับผิดชอบนี่เพิ่งมาเปลี่ยนแปลงมากในยุค ๓๐ ปีให้หลังนี้ เกิดจากขบวนการ women’s liberation เพศหญิง เรียกร้องสิทธิเสรีภาพเท่าเทียมฝ่ายชายมากขึ้น จนทำให้ฝ่ายหญิงมีบทบาททางสังคมมากขึ้น ออกมาหาเงินเป็นที่พึ่งของตัวเองได้ ความคิดเรื่องไม่แต่งงานและพึ่งตัวเองจึงเริ่มระบาดจากสังคมตะวันตกก่อน เมื่อหญิงออกมาทำงานมาก การเลี้ยงลูกจึงต้องถูกผลักภาระให้แก่ผู้อื่น เช่น ปู่ยาตายาย คนรับใช้ หรือไม่ก็สถานรับเลี้ยงเด็กต่าง ๆ เพราะเป็นเรื่องผิดธรรมชาติ ปัญหาสังคมจึงตามมาอันเนื่องจากเด็กขาดความรักความอบอุ่นจากพ่อแม่ที่เอาแต่ทำงานจนไม่มีเวลาให้ลูก
นอกจากนั้น ความกดดันของระบอบเศรษฐกิจและปัญหาสังคม การดิ้นรนตะเกียกตะกายเพื่อเลี้ยงชีวิตตนเองให้รอดยังเป็นเรื่องยากอยู่ หญิงชายไม่น้อยจึงกลัว ไม่กล้าคิดเรื่องมารับภาระของการมีครอบครัวเพิ่ม ทำให้คนอยากแต่งงานมีน้อยลงในยุคนี้ เป็นหน้าที่ของรัฐบาลโดยตรงที่จะต้องส่งเสริมให้สถาบันครอบครัวอยู่รอด ทำให้คู่แต่งงานที่มีลูกสามารถอยู่ได้ง่ายขึ้น โดยให้เสียภาษีน้อยลง อำนวยความสะดวกในเรื่องการให้แม่ได้ดูแลลูกเล็กของตน เป็นต้น เพราะถ้าสถาบันครอบครัวถูกส่งเสริมให้อยู่ได้ง่ายและประสบความสำเร็จแล้ว ปัญหาสังคมจะค่อย ๆ น้อยลงเอง
เสี่ยงทั้งนั้น
ที่พูดมาทั้งหมดนี้ ไม่ได้พูดกับคนที่ยังอยู่ในโคตรปุถุชน แต่พูดกับคนที่ได้ข้ามพรมแดนมาอยุ่ในอริยโคตรแล้ว แต่ยังมีความทุกข์อยู่ จึงอยากให้เห็นภาพใหญ่ของชีวิตและเข้าใจธรรมชาติของโลกมนุษย์และความลึกซึ้งของมัน ต้องไม่มองชีวิตแบบตัดตอน แต่มองอย่างครบวงจร การพูดครั้งนี้จึงพยายามหาทางออกให้แก่คนที่อยู่ในแต่ละกลุ่ม ซึ่งต้องเข้าใจว่า ไม่ว่าจะเลือกวิถีวิตแบบไหน ล้วนเป็นเรื่องของการเสี่ยงทั้งสิ้น เราอาจจะวางแผนสวยหรูไว้เช่นนี้ แต่ความเป็นจริงกลับกลายเป็นอีกเรื่องหนึ่ง เพราะทุกอย่างเป็นอนิจจัง
นอกจากนั้น ต้องยอมรับความจริงขั้นพื้นฐานว่า เรากำลังอยู่ในคุกชีวิตที่มีความทุกข์ ฉะนั้น ไม่ว่าใครจะเลือกวิถีชีวิตอะไรก็ตาม ล้วนต้องมีปัญหาและความทุกข์ที่แตกต่างกันทั้งสิ้น คนโสดก็ทุกข์อย่างคนโสด คนมีครอบครัวก็มีปัญหาและทุกข์อย่างคนมีครอบครัว สิ่งที่รับประกันได้ คือ ความทุกข์ที่เกิดจากการพลัดพราก ไม่ว่าจะจากกันไปไกล เช่น ลูกที่ต้องจากบ้านไปเรียนหรือทำงานไกล ๆ นาน ๆ จึงกลับบ้านมาดูหน้าพ่อแม่สักครั้งหนึ่ง หรือ การพลัดพรากเพราะความตาย ไม่ว่าใครจะเลือกวิถีชีวิตแบบไหน ล้วนต้องพบความพลัดพรากและต้องเป็นทุกข์ทั้งสิ้น ใครมีครอบครัว สิ่งที่หวังได้ดีที่สุดคือ ขอให้พ่อแม่ตายก่อนลูก ใครที่เป็นโสด อย่างน้อยก็ขอให้มีคนฝากผีฝากไข้ด้วย เมื่อความตายมาถึง ทั้งคนโสดและคนมีครอบครัวล้วนจากโลกนี้ไปมือเปล่าเท่าเทียมกันหมด
สรุป
ไม่ว่าจะเป็นโสดหรือมีครอบครัว เมื่อได้ข้ามพรมแดนมาสู่อริยโคตรแล้ว จับหลักเรื่องการพาตัวใจกลับบ้านได้แล้ว ทุกคนล้วนมีสิทธิ์เดินเข้าใกล้พระนิพพานและถึงพระนิพพานได้เท่าเทียมกันหมด ไม่มีกฏเกณฑ์บอกว่า คนโสดจะไปถึงนิพพานเร็วกว่าหรือช้ากว่าคนมีครอบครัว ใครที่ปฏิบัติถูกทาง ย่อมถึงพระนิพพานทั้งสิ้น
หวังว่าบทความนี้จะสามารถตอบคำถามของผู้อ่านที่เขียนเข้ามาถามปัญหาของการมีครอบครัว และหวังว่าทุกคนจะสามารถใช้สถานะของความเป็นมนุษย์ตลอดจนทรัพยกรชีวิต และธรรมชาติที่มีอยู่ในโลกมนุษย์ให้เป็นประโยชน์ต่อการปฏิบัติเพื่อเดินเข้าใกล้พระนิพพานให้มากขึ้น
ด้วยความเมตตา Very Happy
ศุภวรรณ พิพัฒพรรณวงศ์ กรีน
๖ กันยายน ๔๙
บทความจาก
เทคนิคมองโลกในแง่ดี
- เทคนิคมองโลกในแง่ดี -
คนไทยสมัยนี้เครียดกันง่ายจัง วันๆ หนึ่งต้องพบกับความทุกข์ใจ ไม่สบายใจ กังวลใจ กันหลายๆ ครั้ง ไม่เหมือนกับคนไทยสมัยโบราณที่กว่าจะเกิดความเครียดขึ้นมาได้ โน่น..ต้องมีเสือบุกเข้ามากินวัว โจรบุกเข้ามาปล้น ถึงจะเกิดความเครียดกันทีหนึ่ง เรียกว่าวันๆ หนึ่งแทบจะไม่รู้จักความเครียดกันเลย ใบหน้าคนไทยสมัยก่อนจึงมีแต่รอยยิ้ม พวกฝรั่งซึ่งเป็นคนมาจากวัฒนธรรมอื่นมาเห็นเข้าพากันแปลกใจว่าทำไมคนไทยอารมณ์ดีกันจัง ก็เลยตั้งชื่อว่าให้ว่า "สยามเมืองยิ้ม"
นอกจากนี้คนไทยยังมีวิธีคิดที่ได้รับอิทธิพลจากพุทธศาสนา ให้รู้จักคิดปล่อยวาง คิดให้สบายใจ ในยามที่ต้องพบกับปัญหาหนักๆ ในชีวิตประจำวัน ซึ่งปัจจุบันนี้ยังเหลือร่องรอยวิธีคิดเหล่านี้อยู่ในนิสัยคนไทยทั่วๆ ไปบ้าง แต่บางคนก็ลืมไปแล้ว หรือคนรุ่นใหม่อาจจะไม่รู้จัก วันนี้เครือข่ายฯจึงขอนำวิธีคิดเหล่านี้นำมาปรับปรุงแก้ไขให้มีความเป็นพุทธ และ ให้มีความทันสมัย เหมาะกับคนยุคปัจจุบันมากขึ้น นำเสนอเป็นเทคนิควิธีคิดมองโลกในแง่ดีสำหรับคนยุคไอที ดังต่อไปนี้
ยามพบอุปสรรคในการทำงาน
ไม่เป็นไร..เอาใหม่ : คำพูดนี้สำคัญมากครับ เอาไว้ใช้อุทาน เวลาท่านต้องประสบกับปัญหาความล้มเหลวในการทำงานหรือ เจอข้อผิดพลาดอะไรขึ้นมาอย่างไม่คาดฝัน หรือ เวลาเพื่อนร่วมงานทำงานผิดพลาด คำพูดนี้จะเป็นเครื่องปลอบใจและให้กำลังใจได้เป็นอย่างดี คำว่า "ไม่เป็นไร" เป็นคำที่ทำให้จิตใจปล่อยวางจากปัญหา ไม่ถูกบีบคั้นจากปัญหา คำว่า "เอาใหม่" เป็น คำพูดที่ปลุกคุณธรรมข้อ "วิริยะ" แปลว่า เพียรสู้งาน ปลุกใจให้เราคิดสู้ปัญหา ไม่ท้อถอย
ยามพบกับเหตุการณ์ร้ายที่ไม่พึงปรารถนา
โชคดีนะเนี่ย : ไม่ว่าคุณเจอะเจอกับความทุกข์กายทุกข์ใจอะไรในชีวิตประจำวัน ให้คิดเสียว่าสิ่งเลวร้ายที่เราต้องประสบทุกๆ ครั้ง มันไม่ได้ร้ายกาจจนถึงที่สุดแม้สักอย่างเดียว มันเป็นความ"โชคดี"ของเราจริงๆ ที่ไม่เจอหนักกว่านี้
ยกตัวอย่าง
เดินหัวชนเสาหัวปูด อุทานว่า "อูย ! ..โชคดีนะเรา หัวยังไม่แตก"
โดนตัดเงินเดือน พูดกับตัวเองว่า "เขาไม่ไล่เราออก ก็บุญแล้ว ถือว่ายังโชคดีนะเนี่ย"
ทำกาแฟร้อนๆ หกรดขากางเกง พูดกับตัวเองว่า "เหอ..ๆ โชคดี ที่มันไม่หกรดเป้ากางเกงเรา"
โดนตัดเงินเดือน พูดกับตัวเองว่า "เขาไม่ไล่เราออก ก็บุญแล้ว ถือว่ายังโชคดีนะเนี่ย"
ทำกาแฟร้อนๆ หกรดขากางเกง พูดกับตัวเองว่า "เหอ..ๆ โชคดี ที่มันไม่หกรดเป้ากางเกงเรา"
ยามมีปัญหากับเพื่อนมนุษย์ด้วยกัน
เขายังดีนะ : เวลาคุณมีปัญหากับเพื่อนมนุษย์ เช่นเพื่อนร่วมงาน คนข้างบ้าน ฯลฯ เช่น บางคนอาจจะทำงานไม่ถูกใจ บางคนอาจจะทำอะไรผิดใจคุณ หรือ บางคนอาจจะมีเจตนาไม่ดีกับคุณ ให้คิดเช่นเดียวกันว่าสิ่งที่เขาทำนั้นมันก็ยัง ไม่ได้ร้ายกาจถึงที่สุดกับคุณแต่อย่างใด มันยังมีแง่ดีๆ ให้เราคิดถึงเขาอยู่เสมอ
ยกตัวอย่าง
คนข้างบ้านนินทาเรา เราก็บอกกับตัวเองว่า โอ้... นี่เขายังดีนะที่ไม่ถึงกับมาดักทำร้ายเรา
มีคนมาขโมยปากกาที่โต๊ะทำงานเราไป เราก็คิดว่า เจ้าขโมยนี่ยังดี ที่ไม่ยกเครื่องคอมพ์เราไป
สาวหักอก เราก็คิดว่า เธอยังดีนะเนี่ย ที่ไม่ควงคู่แข่งมาเย้ยเราให้เจ็บใจหนักไปกว่านี้
เพื่อนร่วมงานเอาเปรียบ เราก็คิดว่า เขาก็ยังดีที่ไม่ใส่ร้ายป้ายสีเราข้างหลัง
มีคนมาขโมยปากกาที่โต๊ะทำงานเราไป เราก็คิดว่า เจ้าขโมยนี่ยังดี ที่ไม่ยกเครื่องคอมพ์เราไป
สาวหักอก เราก็คิดว่า เธอยังดีนะเนี่ย ที่ไม่ควงคู่แข่งมาเย้ยเราให้เจ็บใจหนักไปกว่านี้
เพื่อนร่วมงานเอาเปรียบ เราก็คิดว่า เขาก็ยังดีที่ไม่ใส่ร้ายป้ายสีเราข้างหลัง
เทคนิคคิดเมื่อเจอปัญหาต่างๆ ในชีวิตประจำวัน
เอ๊ะ...! ตรงนี้เราได้อะไร : เป็นการตั้งคำถามเพื่อให้จิตตั้งแง่คิดเพื่อมุ่งหาความรู้ทันทีที่ได้พบกับปัญหาต่างๆ ในชีวิตประจำวัน อาทิเช่น นาย ก. เดินตกท่อ ขาแข้งถลอก นาย ก. ทั้งๆ ที่เจ็บปวด กลับตั้งคำถามขึ้นมาในใจว่า เราเดินตกท่อตรงนี้ เราได้อะไร ! เท่านั้นเองคำตอบต่างๆ ก็พรั่งพรูออกมามากมาย อาทิเช่น
ก. เราได้ดูแลรักษาตัวเองอีกแล้วดีจัง ไม่ได้ดูแลตัวเองมานาน
ข. เราได้บทเรียนซาบซึ้งกับคำว่า "อย่าไว้ใจทาง อย่าวางใจคน จะจนใจเอง"
(เคยเดินมาดีๆ ทุกวัน วันนี้ใครกันดันมาเปิดฝาท่อ)
ข. เราได้บทเรียนซาบซึ้งกับคำว่า "อย่าไว้ใจทาง อย่าวางใจคน จะจนใจเอง"
(เคยเดินมาดีๆ ทุกวัน วันนี้ใครกันดันมาเปิดฝาท่อ)
ค. มันทำให้เราได้ไอเดียเกี่ยวการทาแถบสีสะท้อนแสงตรงขอบท่อ เพื่อคนจะได้สังเกตเห็นได้แต่ไกลๆ
วิธีคิดเช่นนี้จะทำให้เรารู้สึกเลยว่า ชีวิตนี้มีแต่ได้ ไม่มีเสีย คือ แม้ว่าเราจะพบกับสิ่งที่ไม่น่าพึงปรารถนาก็ตาม แต่ถ้าหากว่าเรารู้จักตั้งคำถามเช่นนี้เป็นนิสัย เราก็จะได้สิ่งที่ดีๆ มากมายจนบางครั้งเราอาจจะต้องนึกขอบคุณที่ได้เจอกับปัญหาบ่อยๆ เลยทีเดียว
ยังมีวิธีคิดมองโลกในแง่ดีอีกมากมายหลายวิธี ซึ่งเครือข่ายชาวพุทธกำลังค้นคว้าหาข้อมูลจากพระไตรปิฎก เพื่อประยุกต์เป็นวิธีคิดนำมาเสนอท่านโอกาสต่อไป อย่าลืมติดตามตอนที่ ๒ เร็วๆ นี้นะครับ สวัสดี
.......................................................
บทความธรรมะจาก
http://www.budpage.com/
http://www.budpage.com/
บำบัดความเครียด... สมาธิบำบัด
บำบัดความเครียด.......... สมาธิบำบัด
เครียด เครียด เครียด .........เครียด เครียด เครียด ชีวิตประจำวันของคนทำงานทำให้ดัชนีความเครียดของคนไทยพุ่งสูงปรี๊ด ความเครียดทำให้สุขภาพเราแย่ลง ทำให้เราป่วยง่ายขึ้น ที่สำคัญสำหรับสาวๆ เครียดมากๆทำให้หน้าแก่ก่อนวัยได้นะ เมื่อเรารู้สึกเครียดร่างกายเราจะหลั่งฮอร์โมน Adrenaline จากต่อมหมวกไต ถ้าเครียดมากก็หลั่ง Adrenaline มากขึ้นฮอร์โมนความเครียดก็จะไปยับยั้งการทำงานของอวัยวะสำคัญทั้งหมด เช่นหัวใจ ไต ตับ ปอด ทำให้อวัยวะสำคัญของเราเสื่อมลงอย่างรวดเร็ว สุดท้ายก็พร้อมใจกันหยุดทำงานเพราะฮอร์โมนความเครียดไปทำให้ภูมิต้านของร่างกายเราต่ำลง ต่ำลง เรียกว่าโรคเครียดนอกจากทำแก่ง่ายแล้วยังทำให้ถึงตายได้นะเนี่ย
- ผ่อนคลายความเครียดด้วยการทำสมาธิ
การทำสมาธิถือได้ว่าเป็นการผ่อนคลายความเครียดที่ลึกซึ้งที่สุด สมาธิทำให้จิตใจสงบนิ่ง แต่มีสติ หยุดความคิดที่ฟุ้งซ่าน วิตกกังวล หรืออารมณ์ด้านลบทั้งหลาย เมื่อเราทำสมาธิจะรู้สึกสบายขึ้นเพราะจะมี Hormoneชื่อ Endorphins หลั่งออกมาในขณะที่จิตใจสงบนิ่ง ฮอร์โมน Adrenaline จากต่อมหมวกไต ก็จะหยุดหลั่ง และในขณะนั้นเองเมื่อจิตสงบสมองส่วน Hypothalamus จะสั่งให้เม็ดเลือดขาวแข็งแรงขึ้น ภูมิต้านทานของเราก็จะสร้างเพิ่มขึ้นหลังจากถูกยับยั้งด้วยฮอร์โมนความ เครียด การทำสมาธินี้ดีมาก มาก สำหรับคนที่กำลังบำบัดมะเร็งเพราะ เมื่อภูมิต้านทานกระเตื้องขึ้นการกำจัดcell มะเร็งก็จะเป็นไปตามที่ต้องการ
- ทำสมาธิแบบไหนดี?
การทำสมาธิที่สามารถบำบัดโรคที่เกิดจากความเครียด ความกังวล ไม่ใช่โรคที่เกิดจากเชื้อโรคโดยตรง แต่สามารถรักษาใจที่เป็นทุกข์อันเกิดจากโรคได้ วิธีฝึกสมาธิบำบัดมีหลายวิธี ได้แก่ การนั่งภาวนา เดินจงกรม การแผ่เมตตา การอธิษฐานจิต การฝึกใช้พลังภายในร่างกาย การใช้พลังภายนอก การฝึกเพ่งลูกแก้ว และอย่างน้อยควรทำวันละ 2 ครั้ง ถ้าทำได้
- ท่าที่สบายที่สุด
จะนั่งขัดสมาธิหรือจะนอนหงายวางแขนไว้ข้างตัวก็ได้ ให้เป็นท่าที่เรารู้สึกสบายตัวที่สุด แล้วก็เลือกสถานที่ที่เรารู้สึกผ่อนคลาย สบายๆไม่ร้อนไม่หนาวเกินไป อุณหภูมิในห้องสบาย ๆ
หลับตาลงจะได้ตัดตัวเองออกจากโลกภายนอก จิตจะได้สงบง่ายขึ้น แล้วเริ่มด้วยการกำหนดลมหายใจโดยสูดหายใจเข้าช้า ๆ ให้ท้องพอง หายใจออกช้า ๆให้ท้องแฟบ สัก 3 ครั้ง ให้สังเกตลมที่ผ่านเข้าออกทางจมูกว่ากระทบถูกอะไรบ้าง
จากนั้นให้หายใจให้สบาย กำหนดจิตของตนไปรับรู้ลมหายใจเข้าออก โดยไม่ต้องสนใจเสียงรอบข้าง ให้รับรู้เฉย ๆ ถ้าจิตมันจะวอกแวกนึกนั่นนึกนี่ แว่บไปหาเพื่อนคนโน้นคนนี้ นึกห่วงงานที่นั่นที่นี่บ้างก็ดึงสมาธิกลับมาอยู่กับลมหายใจ แรก ๆ อาจทำยากมาก เหมือนเราหัดเดินตั้งไข่ครั้งแรก ล้มบ้าง ลุกบ้างแต่ถ้าพยายามเข้าในที่สุดเราก็จะเดินได้การทำสมาธิก็เช่นกัน ถ้าเราพยายามขยันดึงจิตกลับมาอยู่กับลมหายใจ ทำซ้ำ ๆ สม่ำเสมอ ในที่สุดจิตก็จะเชื่อง และเริ่มนิ่ง เมื่อเข้าถึงสมาธิก็จะได้ความรู้สึกปีติรู้สึกสบายอย่างที่ไม่เคยรู้สึกมา ก่อน เพราะ ฮอร์โมนEndorphins หลั่งออกมา และ ฮอร์โมนความเครียด Adrenaline ที่ต่อมหมวกไตก็จะหยุดหลั่งออกมา และเมื่อเข้าสมาธิได้แล้วก็ควรทำเป็นประจำอย่างน้อยวันละ 2 ครั้ง ๆ ละไม่ต่ำกว่า 15 นาที
- เทคนิคการฝึกหายใจ
โดยปกติแล้วการหายใจด้วยอก ชีพจรจะเต้นเร็ว เหนื่อยง่าย ต้องหายใจถี่ๆแต่ถ้าหายใจด้วยท้องชีพจรจะเต้นช้า ในทางวิทยาศาสตร์เราอธิบายได้ว่าเป็นการกระตุ้นกะบังลม ที่กะบังลมจะมีเส้นประสาทวากัส (Vagus) ซึ่งเส้นประสาทตัวนี้เป็นพาราซิมพาเทติก เป็นเส้นประสาทมีผลต่อการผ่อนคลายของกล้ามเนื้อ เพิ่มการทำงานของลำไส้ เส้นประสาทวากัส (Vagus) จะส่งคลื่นไปที่สมอง ทำให้หลอดเลือดขยาย ความดันเลือดลดลง ชีพจรเต้นช้า หายใจช้า ดังนั้นเราจึงต้องฝึกหายใจลงไปที่ท้องแทน
เทคนิคการผ่อนคลายกล้ามเนื้อ
ความเครียดทำให้กล้ามเนื้อทุกระบบในร่างกายหดตัว เวลาเครียดเรามักจะทำหน้านิ่วคิ้วขมวด กำหมัด กัดฟัน ทุกครั้งที่รู้สึกเครียด ทำให้กล้ามเนื้อเกร็งตัวเกิดอาการเจ็บปวด เช่น ปวดต้นคอ ปวดหลัง ปวดไหล่
โดยปกติแล้วการหายใจด้วยอก ชีพจรจะเต้นเร็ว เหนื่อยง่าย ต้องหายใจถี่ๆแต่ถ้าหายใจด้วยท้องชีพจรจะเต้นช้า ในทางวิทยาศาสตร์เราอธิบายได้ว่าเป็นการกระตุ้นกะบังลม ที่กะบังลมจะมีเส้นประสาทวากัส (Vagus) ซึ่งเส้นประสาทตัวนี้เป็นพาราซิมพาเทติก เป็นเส้นประสาทมีผลต่อการผ่อนคลายของกล้ามเนื้อ เพิ่มการทำงานของลำไส้ เส้นประสาทวากัส (Vagus) จะส่งคลื่นไปที่สมอง ทำให้หลอดเลือดขยาย ความดันเลือดลดลง ชีพจรเต้นช้า หายใจช้า ดังนั้นเราจึงต้องฝึกหายใจลงไปที่ท้องแทน
เทคนิคการผ่อนคลายกล้ามเนื้อ
ความเครียดทำให้กล้ามเนื้อทุกระบบในร่างกายหดตัว เวลาเครียดเรามักจะทำหน้านิ่วคิ้วขมวด กำหมัด กัดฟัน ทุกครั้งที่รู้สึกเครียด ทำให้กล้ามเนื้อเกร็งตัวเกิดอาการเจ็บปวด เช่น ปวดต้นคอ ปวดหลัง ปวดไหล่
- การฝึกคลายกล้ามเนื้อ
จะช่วยลดอาการหดเกร็งของกล้ามเนื้อลง เพราะในขณะที่ฝึก จิตใจ ของเราจะจดจ่ออยู่กับการคลายกล้ามเนื้อ ความคิดฟุ้งซ่าน และความวิตกกังวลก็ลดลง ช่วยให้จิตใจจะมีสมาธิมากขึ้น
วิธีการฝึก เลือกนั่งในท่าที่สบาย เลือกเสื้อผ้าที่สวมใส่สบาย ถอดรองเท้า หลับตา ทำใจให้ว่าง ตั้งใจจดจ่ออยู่ที่กล้ามเนื้อส่วนต่างๆ 10 กลุ่ม โดยการปฏิบัติดังนี้คือ
1. มือและแขนขวา โดยกำมือ เกร็งแขน แล้วคลาย
2. มือและแขนซ้าย ทำเช่นเดียวกัน
3. หน้าผาก เลิกคิ้วสูงแล้วคลาย ขมวดคิ้วแล้วคลาย
4. ตา แก้ม จมูก ให้หลับตาแน่น ย่นจมูก แล้วคลาย
5. ขากรรไกร ลิ้น ริมฝีปาก โดยกัดฟัน ใช้ลิ้นดันเพดานปากแล้วคลาย เม้มปากแน่นแล้วคลาย
6. คอ โดยก้มหน้าให้คางจรดคอแล้วคลาย เงยหน้าจนสุดแล้วคลาย
7. อก ไหล่ และหลัง โดยหายใจเข้าลึกๆกลั้นไว้ แล้วคลาย ยกไหล่สูงแล้วคลาย
8. หน้าท้องและก้น โดยการแขม่วท้อง แล้วคลาย ขมิบก้นแล้วคลาย
9. เท้าและขาขวา โดยเหยียดขา งอนิ้ว แล้วคลาย เหยียดขา กระดกปลายเท้าแล้วคลาย
10. เท้าและขาซ้าย ทำเช่นเดียวกัน
2. มือและแขนซ้าย ทำเช่นเดียวกัน
3. หน้าผาก เลิกคิ้วสูงแล้วคลาย ขมวดคิ้วแล้วคลาย
4. ตา แก้ม จมูก ให้หลับตาแน่น ย่นจมูก แล้วคลาย
5. ขากรรไกร ลิ้น ริมฝีปาก โดยกัดฟัน ใช้ลิ้นดันเพดานปากแล้วคลาย เม้มปากแน่นแล้วคลาย
6. คอ โดยก้มหน้าให้คางจรดคอแล้วคลาย เงยหน้าจนสุดแล้วคลาย
7. อก ไหล่ และหลัง โดยหายใจเข้าลึกๆกลั้นไว้ แล้วคลาย ยกไหล่สูงแล้วคลาย
8. หน้าท้องและก้น โดยการแขม่วท้อง แล้วคลาย ขมิบก้นแล้วคลาย
9. เท้าและขาขวา โดยเหยียดขา งอนิ้ว แล้วคลาย เหยียดขา กระดกปลายเท้าแล้วคลาย
10. เท้าและขาซ้าย ทำเช่นเดียวกัน
ข้อแนะนำ
ระยะเวลาที่เกร็งกล้ามเนื้อ ให้น้อยกว่าระยะเวลาที่ผ่อนคลาย เช่น เกร็ง 3-5 วินาที ผ่อนคลาย 10-15 วินาที
ควรฝึกประมาณ 8-12 ครั้ง เพื่อให้เกิดความชำนาญ
เมื่อคุ้นเคยกับการผ่อนคลายแล้ว ให้ฝึกคลายกล้ามเนื้อได้เลยโดยไม่ต้องเกร็งก่อนหรืออาจเลือกคลายกล้ามเนื้อ เฉพาะส่วนที่มีปัญหาก็ได้ เช่น บริเวณใบหน้า คอ หลัง ไหล่ เป็นต้น ไม่จำเป็นต้องคลายกล้ามเนื้อทั้งตัวแต่ถ้ามีเวลาทำได้ทั้งหมดก็จะดีมากมาก สำหรับตัวคุณเอง
ระยะเวลาที่เกร็งกล้ามเนื้อ ให้น้อยกว่าระยะเวลาที่ผ่อนคลาย เช่น เกร็ง 3-5 วินาที ผ่อนคลาย 10-15 วินาที
ควรฝึกประมาณ 8-12 ครั้ง เพื่อให้เกิดความชำนาญ
เมื่อคุ้นเคยกับการผ่อนคลายแล้ว ให้ฝึกคลายกล้ามเนื้อได้เลยโดยไม่ต้องเกร็งก่อนหรืออาจเลือกคลายกล้ามเนื้อ เฉพาะส่วนที่มีปัญหาก็ได้ เช่น บริเวณใบหน้า คอ หลัง ไหล่ เป็นต้น ไม่จำเป็นต้องคลายกล้ามเนื้อทั้งตัวแต่ถ้ามีเวลาทำได้ทั้งหมดก็จะดีมากมาก สำหรับตัวคุณเอง
- ฝึกสมาธิประจำ แก้ได้หลายโรคหากฝึกสมาธิเป็นประจำ จิตใจก็เบิกบาน สมองแจ่มใส จิตใจเข้มแข็ง อารมณ์เย็น พร้อมตลอดเวลาไม่ว่าจะมีปัญหาอะไรมากระทบ สามารถแก้ปัญหาต่างๆ ด้วยความมั่นใจในตัวเอง เมื่อมีสมาธิที่เข้มแข็ง ปัจจุบันมีการวิจัยและค้นพบข้อดีของการทำสมาธิเช่น
- ช่วยปรับสภาวะสมดุลของร่างกายให้เป็นปกติ ทำให้อัตราการหายใจและชีพจรช้าลง
- ทำให้คลื่นสมองสงบ กล้ามเนื้อผ่อนคลายตั้งแต่ศีรษะจรดเท้า ระดับฮอร์โมนที่ถูกระตุ้นจากความเครียดลดลง
- แก้ปัญหานอนไม่หลับได้ถึงร้อยละ 75 และ
- ช่วยให้ผู้ที่ปวดกล้ามเนื้อ ปวดข้อ ใช้ยาแก้ปวดลดลงจาก เดิมร้อยละ 34
- ช่วยให้ผู้ป่วยโรคมะเร็งและโรคเอดส์ มีอาการทุกข์ทรมานลดน้อยลงกว่าการรักษาเฉพาะทางทางยา
- ช่วยบรรเทาอาการปวดศีรษะไมเกรน ความถี่หรือความรุนแรงของอาการจะลดลงร้อยละ 32
และยังพบอีกว่าในการรักษาผู้ป่วยโรค หลอดเลือดหัวใจตีบตัน ผู้ที่มีความเชื่อมั่นในศาสนาจะหายเร็ว กว่า ตรงกันข้ามกับคนที่ไม่นับถือศาสนาอะไรเลย จะมีอัตราการตายมากกว่าผู้นับถือศาสนาถึง 3 เท่า
ในสหรัฐอเมริกา มีงานวิจัยของมหาวิทยาลัยวิสคอนซิล และมหาวิทยาลัยแคลิฟอร์เนีย พบผลตรงกันว่า ชาวพุทธที่นั่งสมาธิเป็นประจำ สมองในส่วนที่ทำงานเกี่ยวข้องกับอารมณ์ที่ดี และ ความคิดด้านบวกจะทำงานกระฉับกระเฉงกว่า ช่วยผ่อนคลายความเครียด และทำให้สมองส่วนที่เป็นศูนย์กลางความทรงจำด้านร้ายสงบลง และการนั่งสมาธิอย่างสม่ำเสมอ จะช่วยให้อารมณ์แปรปรวน ตกใจ เกรี้ยวกราด หรือหวาดกลัวลดลงด้วย
แพทย์โรคหัวใจจากมหาวิทยาลัยฮาร์วาร์ด ได้ให้คนไข้โรคหัวใจฝึกสมาธิระหว่างบำบัดด้วยยาไปด้วยและได้ผลเป็นที่น่าพอ ใจ เพราะทำให้ความดันโลหิตและความเครียดลดลงอย่างมาก
ฉะนั้นถ้าอยากมีสุขภาพดี ไม่แก่ง่าย ตายเร็ว ก็ต้องเริ่มการฝึกทำสมาธิและต้องเริ่มทำตั้งแต่เดี๋ยวนี้เลย อย่าได้ผัดผ่อนเด็ดขาด
..................
บทความจาก
กฟผ. ระบายน้ำในเขื่อนวชิราลงกรณเพิ่ม
กฟผ. ระบายน้ำในเขื่อนวชิราลงกรณเพิ่ม |
กรุงเทพฯ 20 ส.ค.-นายกิตติ ตันเจริญ ผู้ช่วยผู้ว่าการโรงไฟฟ้าพลังน้ำ การไฟฟ้าฝ่ายผลิตแห่งประเทศไทย (กฟผ.) เปิดเผยถึงสถานการณ์น้ำในอ่างเก็บน้ำของ กฟผ. เมื่อวันที่ 16 สิงหาคมที่ผ่านมา เวลา 24.00 น. ว่า มีปริมาตรน้ำในอ่างฯ กฟผ. ทั้งหมด 37,769 ล้านลูกบาศก์เมตร คิดเป็นร้อยละ 61 ของความจุน้อยกว่าปีที่แล้วร้อยละ 17 หรือ -7,105 ล้าน ลบ.ม. โดยอ่างเก็บน้ำเขื่อนภูมิพลและเขื่อนสิริกิติ์ในภาคเหนือซึ่งเป็นอ่างเก็บน้ำขนาดใหญ่และเป็นอ่างเก็บน้ำหลักในการป้องกันและบรรเทาอุทกภัย รวมทั้งภัยแล้งในพื้นที่ลุ่มน้ำเจ้าพระยา นั้น ในปีนี้มีปริมาณน้ำในอ่างฯ น้อยกว่าปีที่แล้วมากถึงร้อยละ 38 หรือ -6,851 ล้าน ลบ.ม. อ่างเก็บน้ำในภาคตะวันออกเฉียงเหนือก็มีปริมาณน้ำในอ่างฯ น้อยกว่าปีที่แล้วค่อนข้างมากเช่นเดียวกัน มีเพียงอ่างเก็บน้ำในภาคตะวันตกที่มีปริมาณน้ำในอ่างฯ มากกว่าปีที่แล้ว เนื่องจากปีนี้ฝนตกทางภาคตะวันตกค่อนข้างมาก นายกิตติ กล่าวว่า ในระยะนี้เขื่อนที่ต้องเฝ้าระวังและติดตามอย่างใกล้ชิด คือ เขื่อนวชิราลงกรณในภาคตะวันตก เนื่องจากมีฝนตกหนักต่อเนื่องในจังหวัดกาญจนบุรี และตาก ตั้งแต่ปลายเดือนกรกฎาคม เป็นต้นมา ส่งผลให้มีปริมาณน้ำไหลเข้าเขื่อนวชิราลงกรณในปริมาณมาก โดยตั้งแต่วันที่ 25 กรกฎาคม-ปัจจุบันมีปริมาณน้ำไหลเข้าเขื่อนรวม 2,375 ล้าน ลบ.ม. หรือเฉลี่ยวันละ 103 ล้าน ลบ.ม. จนถึงปัจจุบันยังคงมีปริมาณน้ำไหลเข้าเขื่อนวันละ 100 ล้าน ลบ.ม. ทำให้ปริมาณในอ่างฯ จากก่อนหน้านี้มีเพียงร้อยละ 55 ของความจุ เพิ่มขึ้นเป็นร้อยละ 75 ของความจุ ทั้งนี้ เขื่อนวชิราลงกรณได้เพิ่มการระบายน้ำในปริมาณที่ไม่กระทบต่อสภาพน้ำด้านท้ายตั้งแต่วันที่ 2 สิงหาคม 2555 เป็นต้นมา ปัจจุบันระบายน้ำประมาณวันละ 40 ล้าน ลบ.ม. ตามมติคณะอนุกรรมการติดตามและวิเคราะห์แนวโน้มสถานการณ์น้ำ และคณะอนุกรรมการติดตาม วิเคราะห์สถานการณ์น้ำและจัดสรรน้ำ โดยจะปรับลดตามความสามารถที่ท้ายน้ำสามารถรับได้ ซึ่ง กฟผ. และกรมชลประทานจะมีการประสานงานกันอย่างใกล้ชิด ปัจจุบันเขื่อนวชิราลงกรณเหลือช่องว่างรองรับน้ำได้อีก 2,175 ล้าน ลบ.ม. จึงต้องติดตามเพื่อปรับแผนการรระบายน้ำให้ใกล้ชิดกว่าเขื่อนอื่น สำหรับอ่างเก็บน้ำเขื่อนภูมิพลและเขื่อนสิริกิติ์ ได้วางแผนพร่องน้ำเพื่อเตรียมการป้องกันและบรรเทาอุทกภัยมาตั้งแต่ต้นปี ทำให้มีช่องว่างสามารถรับน้ำได้อย่างปลอดภัย ปัจจุบัน เขื่อนภูมิพล มีปริมาตรน้ำ 6,349 ล้าน ลบ.ม. คิดเป็นร้อยละ 46 ของความจุ น้อยกว่าปีที่แล้วร้อยละ 35 หรือ -3,363 ล้าน ลบ.ม. ปริมาณน้ำใช้งานได้ 2,549 ล้าน ลบ.ม. มีช่องว่างรองรับน้ำได้อีก 7,113 ล้าน ลบ.ม. โดยในรอบสัปดาห์ที่ผ่านมา (10-16 ส.ค.) มีปริมาณน้ำไหลเข้าเขื่อน 167 ล้าน ลบ.ม. หรือเฉลี่ยวันละ 24 ล้าน ลบ.ม. ระบายน้ำตามแผนการใช้น้ำรวม 58 ล้าน ลบ.ม. หรือเฉลี่ยวันละ 8 ล้าน ลบ.ม. คาดว่าในกรณีน้ำเฉลี่ยเขื่อนภูมิพลจะมีปริมาตรน้ำเก็บกักเมื่อสิ้นสุดฤดูฝน (31ต.ค. 55) ร้อยละ 69 ของความจุ และหากสถานการณ์น้ำช่วงฤดูฝนอยู่ในเกณฑ์น้ำมากเขื่อนภูมิพลสามารถเก็บกักน้ำเพิ่มขึ้นเป็นร้อยละ 77 ของความจุ ซึ่งจะมีน้ำต้นทุนสำหรับการใช้น้ำในปีหน้ามากขึ้น เขื่อนสิริกิติ์ มีปริมาตรน้ำ 4,877 ล้าน ลบ.ม. คิดเป็นร้อยละ 51 น้อยกว่าปีที่แล้วร้อยละ 42 หรือ -3,488 ล้าน ลบ.ม. ปริมาณน้ำใช้งานได้ 2,027 ล้าน ลบ.ม. มีช่องว่างรองรับน้ำได้อีก 4,633 ล้าน ลบ.ม. ในรอบสัปดาห์ที่ผ่านมามีปริมาณน้ำไหลเข้าเขื่อน 446 ล้าน ลบ.ม. หรือเฉลี่ยวันละ 64 ล้าน ลบ.ม. มากกว่าสัปดาห์ก่อน ๆ ระบายน้ำตามแผนการใช้น้ำรวม 105 ล้าน ลบ.ม. หรือเฉลี่ยวันละ 15 ล้าน ลบ.ม. คาดว่าในกรณีน้ำเฉลี่ยเขื่อนสิริกิติ์จะมีปริมาตรน้ำเก็บกักเมื่อสิ้นสุดฤดูฝน (31 ต.ค. 55) ร้อยละ 74 ของความจุ และหากสถานการณ์น้ำช่วงฤดูฝนอยู่ในเกณฑ์น้ำมากเขื่อนสิริกิติ์สามารถเก็บกักน้ำเพิ่มขึ้นเป็นร้อยละ 83 ของความจุ ทั้งนี้ กรมอุตุนิยมวิทยาคาดการณ์ปริมาณฝนในภาคเหนือว่าหากไม่มีพายุพัดผ่านจะมีปริมาณฝนใกล้เคียงค่าเฉลี่ยหรือมากกว่าค่าเฉลี่ยเล็กน้อย ดังนั้น โอกาสที่เขื่อนภูมิพลและเขื่อนสิริกิติ์จะมีปริมาณน้ำไหลเข้าเขื่อนมากเหมือนปีที่แล้วคงไม่มี หรือหากมีปริมาณน้ำไหลเข้าเขื่อนในเกณฑ์มาก ช่องว่างในเขื่อนทั้ง 2 ที่มีรวมกันกว่า 11,000 ล้าน ลบ.ม. จะสามารถเก็บกักน้ำ เพื่อบรรเทาสภาพท้ายน้ำได้เป็นอย่างดี ผู้ช่วยผู้ว่าการโรงไฟฟ้าพลังน้ำ กล่าวว่า สิ่งที่น่าเป็นห่วง คือ เขื่อนวชิราลงกรณ หากแนวโน้มปริมาณน้ำไหลเข้าเขื่อนมากอย่างต่อเนื่อง อาจทำให้ระดับน้ำในอ่างฯ สูงเกินระดับน้ำควบคุมตัวบน หรือ Upper Rule Curve ปัจจุบันจึงได้ปรับเพิ่มการระบายน้ำตามความเหมาะสมที่ท้ายน้ำสามารถรับน้ำได้ จึงขอประชาสัมพันธ์และแจ้งเตือนผู้ที่อาศัยอยู่ในพื้นที่ลุ่มต่ำ ซึ่งอาจได้รับผลกระทบจากการระบายน้ำให้เตรียมการขนย้ายสิ่งของที่ขวางทางน้ำขึ้นที่สูงให้พ้นน้ำต่อไป ซึ่งคาดว่าสภาพฝนตกหนักคงจะคลี่คลายลงประมาณปลายเดือนกันยายน 2555 ทั้งนี้ กฟผ. และกรมชลประทานจะติดตาม และประสานงานกันอย่างใกล้ชิด เพื่อให้การระบายน้ำไม่ส่งผลกระทบต่อสภาพท้ายน้ำ .-สำนักข่าวไทย |
ที่มา : สำนักข่าวไทย |
หลุด หน้าจอ Nokia Windows Phone 8
หลุด หน้าจอ Nokia Windows Phone 8
แหล่งข่าวจากเว็บไซต์ CnBeta เผยภาพหน้าจอที่คาดว่าจะเป็นสมาร์ทโฟนตัวใหม่ของโนเกีย |
สำหรับหน้าจอดังกล่าว ถูกระบุว่ามีขนาด 4.3 นิ้ว และคาดว่ามีความละเอียดอยู่ที่ 768 x 1280 พิกเซล อีกทั้งในส่วนด้านบนหน้าจอ ยังมีโลโก้ของโนเกีย และด้านล่างหน้าจอมีโลโก้ของ Windows Phone 8 ติดอยู่ อย่างไรก็ตาม ความจริงจะปรากฏก็ต่อเมื่อการเปิด
|
แจ่มใส ปูพื้นฐานการเป็นนักเขียน
แจ่มใส ปูพื้นฐานการเป็นนักเขียน
โครงการ ค่ายเรื่องเล่านิยายรัก ปี 2 ติวเข้มความรู้ด้านการเขียน และเทคนิคสร้างสรรค์นิยายสมัยใหม่กับมืออาชีพ กิ่งฉัตร ปิยะพร ศักดิ์เกษม ภัสรสา มุฑิตา นภชล และวีสาม
เปิดฉากอบรมความรู้ จุดชนวนความคิดการวางพล็อตเรื่องและสร้างตัวละครกับนักเขียนแจ่มใส แนวความรู้สึกดี... ที่เรียกว่ารัก นำโดย นภชล, วีสาม, มุฑิตา และภัสรสา ถ่ายทอดเทคนิคการใช้สำนวนภาษาและสร้างจุดไคลแมกซ์เรื่องให้น่าสนใจ พร้อมรับฟังคอมเมนต์ดีๆ จากวิทยากรมืออาชีพ ร่วมกันติชมและชี้แนวทางสร้างผลงานให้สมจริง เทคนิคไม่ลับให้ผู้เข้าอบรมนำไปปรับใช้ในงานเขียนกันง่ายๆ ก่อนจะไปตอกย้ำความสำเร็จกับกิ่งฉัตรและปิยะพร ศักดิ์เกษม ที่มาร่วมแบ่งปันประสบการณ์ตรง เผยเกร็ดความรู้สำหรับนักเขียนมือใหม่ให้เหล่า ผู้เข้าอบรมมีแนวทางเริ่มต้นสู่อาชีพนักเขียนกันอย่างจริงจัง
จากนั้นแจ่มใสขับกล่อมทุกคนด้วยเสียงเพลงซึ้งๆ ของคุณ Hamuae (lele) ที่มาพร้อม 2 บทเพลงหวานจากแรงบันดาลใจนิยายรัก เรื่องความลับในฟาร์มรักของนภชล สู่บทเพลง ลืมเสียงหัวใจ และเพลงฟังเสียงของหัวใจ ผ่อนคลายความเหนื่อยล้า ตรึงใจผู้ฟังให้อินตามตั้งแต่ต้นจนจบในงานนี้
ปิดท้ายกันที่พิธีมอบใบประกาศนียบัตรและของที่ระลึกพิเศษให้เหล่าว่าที่นักเขียนเป็นเครื่องหมายการันตีคุณภาพผลงานที่ทุกคนสามารถพัฒนาต่อยอดงานเขียนเพื่อรับโอกาสเป็นนักเขียนตัวจริง อีกหนึ่งความตั้งใจของแจ่มใสในการเฟ้นหานักเขียนหน้าใหม่มาประดับวงการวรรณกรรมไทย ติดตามโครงการดีๆ แบบนี้ได้ที่ www.jamsai.com
โครงการ ค่ายเรื่องเล่านิยายรัก ปี 2 ติวเข้มความรู้ด้านการเขียน และเทคนิคสร้างสรรค์นิยายสมัยใหม่กับมืออาชีพ กิ่งฉัตร ปิยะพร ศักดิ์เกษม ภัสรสา มุฑิตา นภชล และวีสาม
หลังจากประกาศรายชื่อผู้มีสิทธิ์เข้าอบรมปูพื้นฐานการเขียนกับโครงการค่ายเรื่องเล่า... นิยายรัก ปี 2 กันแล้ว ล่าสุดแจ่มใสพาเหล่าว่าทีนักเขียนทั้ง 10 คน ติวเข้มความรู้ด้านการเขียน และเทคนิคสร้างสรรค์นิยายสมัยใหม่กับมืออาชีพ กิ่งฉัตร, ปิยะพร ศักดิ์เกษม, ภัสรสา, มุฑิตา, นภชล และวีสาม พร้อมกองบรรณาธิการสำนักพิมพ์แจ่มใส ร่วมเป็นวิทยากรเต็มอิ่มความรู้ 2 วันเต็ม ณ แจมคลับ (ซอยข้างเมเจอร์ปิ่นเกล้า)
เปิดฉากอบรมความรู้ จุดชนวนความคิดการวางพล็อตเรื่องและสร้างตัวละครกับนักเขียนแจ่มใส แนวความรู้สึกดี... ที่เรียกว่ารัก นำโดย นภชล, วีสาม, มุฑิตา และภัสรสา ถ่ายทอดเทคนิคการใช้สำนวนภาษาและสร้างจุดไคลแมกซ์เรื่องให้น่าสนใจ พร้อมรับฟังคอมเมนต์ดีๆ จากวิทยากรมืออาชีพ ร่วมกันติชมและชี้แนวทางสร้างผลงานให้สมจริง เทคนิคไม่ลับให้ผู้เข้าอบรมนำไปปรับใช้ในงานเขียนกันง่ายๆ ก่อนจะไปตอกย้ำความสำเร็จกับกิ่งฉัตรและปิยะพร ศักดิ์เกษม ที่มาร่วมแบ่งปันประสบการณ์ตรง เผยเกร็ดความรู้สำหรับนักเขียนมือใหม่ให้เหล่า ผู้เข้าอบรมมีแนวทางเริ่มต้นสู่อาชีพนักเขียนกันอย่างจริงจัง
จากนั้นแจ่มใสขับกล่อมทุกคนด้วยเสียงเพลงซึ้งๆ ของคุณ Hamuae (lele) ที่มาพร้อม 2 บทเพลงหวานจากแรงบันดาลใจนิยายรัก เรื่องความลับในฟาร์มรักของนภชล สู่บทเพลง ลืมเสียงหัวใจ และเพลงฟังเสียงของหัวใจ ผ่อนคลายความเหนื่อยล้า ตรึงใจผู้ฟังให้อินตามตั้งแต่ต้นจนจบในงานนี้
ปิดท้ายกันที่พิธีมอบใบประกาศนียบัตรและของที่ระลึกพิเศษให้เหล่าว่าที่นักเขียนเป็นเครื่องหมายการันตีคุณภาพผลงานที่ทุกคนสามารถพัฒนาต่อยอดงานเขียนเพื่อรับโอกาสเป็นนักเขียนตัวจริง อีกหนึ่งความตั้งใจของแจ่มใสในการเฟ้นหานักเขียนหน้าใหม่มาประดับวงการวรรณกรรมไทย ติดตามโครงการดีๆ แบบนี้ได้ที่ www.jamsai.com
สมัครสมาชิก:
บทความ (Atom)